''ก้อย-โย่ง'' ปลูกรักบานสะพรั่ง 9 ปี พร้อมแล้วกับชีวิตแต่งงาน ฝ่ายชายลั่นแต่งแน่สิ้นปีนี้ คุยฟุ้งขอมีทายาทเลยทันที ด้านฝ่ายหญิงสุดปลื้มที่ฝ่ายชายคุกเข่าขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต เมินเรื่องสินสอดเพราะไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

เป็นคู่รักเด็กแนวที่หลายคนทั้งคอยจับตามองและเอาใจช่วยมาตลอดเป็นเวลาหลายปี ว่าเมื่อไหร่หนุ่มนักร้องวงอาร์มแชร์อย่าง ''โย่ง'' อนุสรณ์ มณีเทศ และสาวนักร้องสุดจี๊ด ''ก้อย'' วลัยลักษณ์ มุสิกโปฏก จากวงแซทเทอเดย์ เซย์โกะ จะตกลงปลงใจแต่งงานกันอย่างเป็นทางการสักทีหลังจากที่คบหาดูใจกันมากว่า 9 ปี ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 30 ก.ค. 54 ที่ผ่านมานั้นนักร้องหนุ่มสุดเซอร์อย่างนายโย่งก็ได้ทำเซอร์ไพรส์แฟนสาวด้วยการคุกเข่าขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ตอาร์มแชร์ แฟต ไลฟ์คอนเสิร์ต เรียกได้ว่าทำเอาผู้ชมทั้งงานต่างก็เซอร์ไพรส์และทราบซึ้งไปตามๆ กัน
 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 54 ที่ผ่านมานั้นทั้งสองได้เดินทางมาร่วมงานเปิดตัวพรีเซนเตอร์ บองกอกแอร์เวย์ ณ แกรนด์ฮอลล์ ห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ที่ทั้งสองรับตำแหน่งเป็นพรีเซนเตอร์ล่าสุด โดยทั้งคู่ก็ได้สัมภาษณ์กับทางสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวอย่างคับคั่งหลังจากที่ฝ่ายชายได้คุกเข่ากลางงานคอนเสิร์ตของตัวเองไปเมื่อวันก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งทางด้านฝ่ายหญิงอย่างสาวก้อยก็ได้กล่าวความรู้สึกวันนั้นกับสื่อมวลชนว่า ตกใจกับเหตุการณ์ที่แฟนหนุ่มขอแต่งงานกลางคอนเสิร์ต แต่ก็สุดปลื้มที่ฝ่ายชายทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษเช่นนี้
 

''ก็ตกใจนิดหน่อยค่ะ ตื่นเต้นวันนั้นเราก็รู้สึกเหมือนทีมงานของคุณโย่งเค้าก็ดูเหมือนจะผิดสังเกต ก็สักพักคุณโย่งเค้าก็มาทำเซอร์ไพรส์ ก็ต้องบอกว่ารู้สึกปลื้มมากกว่า มันเป็นความรู้สึกที่แบบตื้นตันมากกว่าค่ะ เพราะว่า เราคบกันมา 9 ปี แต่ว่ามันเป็น 9 ปีที่ก้อยรู้สึกว่ามันดีมากๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เรารู้สึกว่าต้องปฏิเสธเค้าอยู่แล้วอ่ะค่ะ เค้าก็น่ารักตลอดทั้ง 9 ปี ยิ่งเค้าแสดงความรักในแบบที่เรียกว่าค่อนข้างสุภาพบุรุษค่ะ แล้วมันก็ยิ่งทำให้เรายิ่งปลื้มค่ะ''
 

ด้านฝ่ายชายก็ได้กล่าวถึงความรู้สึกในวันนั้นกับสื่อมวลชนว่า ต้องการจะมอบสิ่งพิเศษในวันพิเศษของตนเองและคิดว่าสาวก้อยคือคนที่สมควรจะได้รับอะไรดีๆ แบบนี้ที่สุดแล้ว
 

''ตั้งแต่แรกที่รู้ว่าจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ก็รู้ก่อนประมาณสัก 3 เดือนนะครับ คือมันเป็นโอกาสที่พิเศษมากๆ สำหรับวงอาร์มแชร์แล้วผมก็เลยรู้สึกว่าอยากมอบโอกาสพิเศษแบบนี้ให้คุณก้อยด้วย เพราะผมรู้สึกว่าคุณก้อยเป็นคนที่สมควรได้รับสิ่งที่ดีๆ กว่าใคร เพราะตั้งแต่ตลอดเวลาที่คบกันมาเนี่ย คุณก้อยเค้าไม่เคยร้องขออะไรจากผมเลยไม่ว่าจะเป็นของแพงๆ กระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้า รองเท้า คือไม่มีเลย คือเค้าไม่ได้ต้องการของนอกกายไปมากกว่าการที่เราได้อยู่ด้วยกันน่ะครับ ผมก็เลยรู้สึกว่าอยากมอบอะไรให้คุณก้อยบ้างครับ''
 

จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงได้ถามต่อไปว่า ทั้งสองคนได้เริ่มคุยถึงแพลนการแต่งงานบ้างหรือยัง ซึ่งด้านฝ่ายหญิงเล่าให้ฟังว่ายังไม่ได้คุยกันอย่างจริงจังแต่ก็ได้เริ่มคุยกับทางด้านผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายบ้างแล้ว
 

''ยังเลยค่ะ ก็อย่างที่บอกว่าวันนั้นเป็นวันแรกที่เค้าเพิ่งทำเซอร์ไพรส์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ก็หลังจากวันนั้นก็ได้มีโอกาสคุยกับทางคุณพ่อคุณแม่ทางผู้ใหญ่เค้าก็กำลังดู''
 

ซึ่งแฟนหนุ่มฝ่ายชายก็ได้กล่าวเสริมว่า ''ตั้งใจไว้ว่าน่าจะเป็นภายในปีนี้นะครับ เพราะว่าปีนี้ก็ทำงานหนักมากแล้ว ไหนๆ มันจะหนักก็ขอให้มันหนักไปเลยทีเดียวครับ ก็แบบว่าเรื่องฤกษ์งามยามดีก็อย่างที่คุณก้อยบอก คือเราไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องนี้น่ะครับ คือผมก็เคยเกริ่นกับพี่ๆ นักข่าวเอาไว้นะว่าอยากจะแต่งงานปีนี้แต่ว่าก็ยังไม่ได้บอกวันนะก็คงต้องรอดูต่อไป''
 

ต่อคำถามกับฝ่ายหญิงที่ว่าพร้อมไหมกับการที่จะต้องมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในอีกไม่ช้านี้ ซึ่งสาวก้อยก็ได้เผยว่า พร้อมแล้วกับการใช้ชีวิตคู่และยังกล่าวอีกว่าฝ่ายชายน่าจะเป็นคนที่ดูแลตนเองและครอบครัวตนเองได้เป็นอย่างดี
  

''ก็..คงต้องบอกว่าพร้อมแหละค่ะ อย่างที่บอกว่าเค้าก็ดูแลเราดีมาตลอด แต่ก็มาติดที่ว่าช่วงที่ผ่านมาเนี่ยคุณแม่ของก้อยไม่สบายด้วย ช่วงนี้ก็เป็นช่วงสุดท้ายที่จะต้องให้เคมีบำบัด และก็เป็นช่วงที่อาการของคุณแม่กำลังดีขึ้นด้วยก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลานี้ คือจะบอกว่าคนที่คบกัน 2 คนน่ะค่ะ คือจะบอกว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดเนี่ยคือเป็นช่วงเวลาที่ก้อยค่อนข้างจะกังวลแล้วเค้าเองก็คอยอยู่เคียงข้างตลอดก็คอยดูแลเราก็เลยคิดว่าเค้าน่าจะเป็นคนที่ดูแลเราได้ค่ะ''
 

ต่อคำถามที่ว่าหลังจากที่แต่งงานกันแล้วทั้งคู่จะมีทายาทเลยไหมนั้น ด้านฝ่ายชายก็ได้ให้ความเห็นกับสื่อมวลชนว่า อยากจะมีทายาทเลยหลังแต่งงานเพราะอยากมีลูกเป็นเพื่อน
 

''คือผมเคยคุยกับคุณก้อยครับ คือเคยคุยคร่าวๆ ว่าแต่งงานกันแล้วขอมีลูกเลยนะ เพราะผมอยากมีลูกทันใช้แล้วก็อยากมีลูกเป็นเพื่อนครับ แล้วก็ไม่อยากให้คุณก้อยเค้าเหนื่อย ให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว คือผมเชื่อว่าไม่มีอะไรเกินความสามารถผม และผมเองอยากให้เค้าอยู่บ้านเฉยๆ จะได้ไม่เหนื่อยครับ''
 

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงเรื่องสินสอดในงานแต่งงานที่จะถึงนี้ว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ อย่างไร ซึ่งทางด้านสาวก้อยก็ได้กล่าวว่าสินสอดนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับตนและไม่เคยมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด
 

''จริงๆ เรื่องนี้ต้องขอบอกเลยค่ะว่าก้อยไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพย์สินเงินทอง จะบอกว่าแค่ทุกวันนี้เค้าดูแลเราดูแลคุณแม่ดูแลครอบครัวก้อยมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วค่ะเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ก้อยไม่เคยสนใจ''
 

ส่วนคำถามถึงเรื่องของธีมงานแต่งงานของทั้งคู่นั้นวางแพลนออกมาเป็นเช่นไรด้านฝ่ายชายก็ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังอย่างตั้งใจว่า
 

''ก็ตั้งใจไว้ว่าอยากจัดกลางแจ้งครับ ก็คงเป็นช่วงปลายปีที่ฝนมันไม่ตกแล้วก็ไม่ได้อยากจัดให้มันดูเอิกเกริกมากเพราะว่าด้วยความที่อย่างที่บอกว่าเราใช้ชีวิตกันอย่างพอเพียงครับ ไม่ใช่อย่างที่การแต่งงานมันเป็นค่านิยมที่ต้องใช้ของแพงอะไรแบบนั้น ก็อยากให้มันออกมาดูอบอุ่นมากกว่าคืออยู่กับเพื่อนๆ กับพี่น้องพ่อแม่ครอบครัว แล้วก็อาจจะมีคอนเสิร์ตเล็กๆ ครับ ก้อยบอกว่าจะขี่ช้างเข้างานแต่เราก็กลัวว่ามันจะเอิกเกริก จริงแล้วคู่เราเป็นคู่ที่ธรรมชาติที่สุดแล้วครับ ง่ายๆ สบายๆ มากกว่า''
 

ซึ่งด้านฝ่ายหญิงก็ได้กล่าวเสริมอีกด้วยว่า
 

''ทางบ้านเราสองคนก็คง อย่างบ้านของคุณโย่งเค้าก็จะอบอุ่นน่ารักกับก้อยมาไปบ้านเค้าคุณแม่เค้าก็จะทำกับข้าวให้ทาน ส่วนคุณโย่งเองบ้านก้อยเค้าก็รักมาก ยิ่งตอนที่คุณแม่ก้อยป่วยนี่คุณโย่งเค้าก็คอยดูแลคุณแม่มาตลอดในตอนเศร้า ก็ทำให้เรารู้สึกเห็นใจกันมากขึ้นด้วยค่ะ'' ก้อยกล่าว