''วินนี่'' วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือใหญ่ทีมชาติไทย ยังหวังทำทีมชาติไทยต่อไป หลังออกมาพูดถึงบทสรุปในการเจรจาบนโต๊ะอาหารระหว่าง ส.ฟุตบอลเยอรมนี กับสมาคมฟุตบอลไทย เชื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน พร้อมตั้งเป้าพาทีมชาติไทยผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ปี 2018 รัสเซีย และ 2022 ที่กาตาร์

ภายหลังจากก่อนหน้านี้ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลไทย เตรียมจะหารือทีมงานกฎหมายของสมาคมฟุตบอลฯ ดูรายละเอียดสัญญาของ "วินนี่" วินฟรีด เชเฟอร์ ว่าจะมีทางใดที่จะจากกันด้วยดี โดยประเด็นหลักพุ่งเป้าไปที่ทำผลงานไม่ดีกับทีมชาติไทย ทั้งศึก "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 " และ "เอเชียน คัพ 2015" รอบคัดเลือก ที่แพ้ 2 นัดรวด

อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงค่ำคืนวันศุกร์ที่ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา "วินนี่" วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือทีมชาติไทย ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ "Winfried Schefer" ถึงการรับประทานอาหารกับตัวแทนสมาคมฟุตบอลเยอรมันและสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่มี "บังยี" วรวีร์ มะกูดี นายกฯ บอลไทย ร่วมรับประทานด้วยนั้น

โดยกุนซือผมสีดอกเลาชาวเมืองเบียร์ ยืนยันว่าได้มีการพูดคุยถึงความเป็นไปได้ของการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างประเทศไทยกับเยอรมัน แต่ไม่มีบทสรุปว่าสุดท้ายทั้งสองได้ตกลงร่วมความสัมพันธ์กันหรือไม่

กระนั้นก็ดี ล่าสุด ช่วงเที่ยงของวันเดียวกัน "วินนี่" วินฟรีด เชเฟอร์ ได้โพสต์ข้อความต่อเนื่อง โดยระบุว่า "มันเป็นการพบปะกันที่ดีมาก และผมคิดว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ดี นอกจากนั้น เรายังได้นำเสนอแผนการสำหรับฟุตบอลลีกในประเทศไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ผมหวังว่าสื่อจะนำเสนอเรื่องนี้ในอีกสองสามวันข้างหน้า สำหรับตอนนี้คุณสามารถอ่านบทเกริ่นนำของแผนการของเราข้างล่างนี้"

"ฟุตบอลโลกปี 2018 และ 2022 เราปลุกศักยภาพเยาวชนของเรา เราอยากที่จะปฏิวัติฟุตบอลของประเทศไทย และพัฒนากีฬาชนิดนี้สำหรับปีต่อไปในภายภาคหน้า เพื่อที่จะก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในชาติแนวหน้าในทวีปเอเชียที่ได้รับการยอมรับจากวงการฟุตบอลระดับโลก ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2018 และ 2022 นั้นควรจะเป็นเป้าหมายอันใกล้ของเรา การผ่านเข้ารอบสำหรับทัวร์นาเมนต์ทั้งสอง รวมถึงการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งเคียงคู่กับชาติมหาอำนาจฟุตบอลต่างๆ นั้นอาจจะดูเหลือเชื่อในวันนี้ แต่เราต่างก็รู้ดีว่าประเทศไทยก็มีศักยภาพที่จะก้าวไปสู่จุดหมายจุดนั้นได้"

"เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย เราต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและเริ่มต้นการปฏิรูปที่แท้จริง สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย, บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก และทีมฟุตบอลลีกชั้นนำ ต้องร่วมกันแสดงความรับผิดชอบ เพื่อที่จะเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในวงการฟุตบอลไทย"

"จากประเทศประเทศหนึ่งที่ประชากรส่วนใหญ่หลงใหลในเกมกีฬาฟุตบอล ทำให้ประเทศไทยไม่เคยจะขาดเด็กที่ฝันว่าตัวเองเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต แต่สำหรับเด็กๆ เหล่านี้ เพื่อที่จะทำฝันนี้ให้เป็นจริง เช่นกันกับฝันของเราที่ใหญ่ไม่แพ้กับพวกเด็กๆ เราต้องการที่จะสร้างสภาพแวดล้อมและระบบระเบียบที่จะมาสนับสนุนและพัฒนาเยาวชนดาวรุ่งเหล่านี้ให้กลายมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ"

"เราเชื่อว่ากุญแจสู่การปฏิรูปที่สำเร็จได้นั้นคือการพัฒนาระบบเยาวชนในสโมสรฟุตบอล รวมทั้งการก่อตั้งการแข่งขันฟุตบอลลีกระดับเยาวชน บทบาทของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และไทยพรีเมียร์ลีก คงจะต้องก่อร่างและประกาศใช้กระบวนการที่ได้มาตรฐาน โดยอิงการพัฒนาเยาวชนแบบมุ่งไปข้างหน้าและเป็นไปอย่างมืออาชีพ"

"เพื่อส่งเสริมแผนนี้ เราต้องการข้อตกลงในความร่วมมือกันระหว่างสโมสรฟุตบอล ภาครัฐบาล และสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย รวมทั้งองค์กรขนาดใหญ่ทั้งในไทยและจากต่างประเทศ สโมสรฟุตบอลที่มีขนาดใหญ่และมีความพร้อมในด้านต่างๆ ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือสโมสรเล็ก และทางสมาคมฯ จะต้องไม่เพียงแค่ให้คำปรึกษาและเป็นผู้เริ่มดำเนินการวางแผน แต่จะต้องเป็นตัวอย่างของความมีจรรยาบรรณด้วย เมื่อนั้นเราจึงจะปลุกศักยภาพของทั้งประเทศได้"