โยอัคคิม เลิฟ สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลพอสมควร ด้วยการเรียก มิโรสลาฟ โคลเซ่ ให้ออกสตาร์ทตัวจริงเป็นครั้งแรกในศึกเวิลด์ คัพ หนนี้

 มากกว่านั้น กุนซือมาดละเมียดยังขยับ ฟิลิปป์ ลาห์ม กลับไปเล่นในตำแหน่งแบ็กขวา พร้อมกับส่ง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ กลับมาประสานงานในแผงมิดฟิลด์กับ ซามี่ เคดิร่า และโทนี่ โคสแบบเต็มตัว

 ทีม "อินทรีเหล็ก" ทำเกมบุกตามช่องแบบที่ตนถนัด แต่เมื่อบอลไปถึงพื้นที่สุดที่มี มิโรสลาฟ โคลเซ่ เป็นหน้าเป้า จังหวะจบยังดูขาดๆเกินๆ ราวกับว่าหัวหอกเสือเฒ่าของทีมรายนี้ ไม่น่าจะเหมาะกับวิธีการเล่นแท็คติกนี้

 ฝรั่งเศส มาตั้งโซนคุมพื้นที่กันได้ดี เยอรมัน ทำเกมกันลำบากพอสมควร และมีโอกาสลุ้นจากลูกโอเพ่นเพลย์น้อยมาก

 เห็นได้ชัดว่าประตูชัยที่ เยอรมัน ได้มาในเกมนี้ ก็มาจากการเล่นลูกตั้งเตะ

 เยอรมัน พยายามนวดทีมตราไก่ด้วยการเคาะบอลกันสั้นๆไปเรื่อยๆ ไม่ผลีผลามจู่โจมด้วยจังหวะฉาบฉวย เพราะตระหนักดีว่า หากเสียบอลให้กับฝรั่งเศสเมื่อไหร่ จะต้องโดนเกมรุกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์เล่นงานแน่นอน

 หลายจังหวะที่ นักเตะเลือดน้ำหอมมีโอกาสตอบโต้กลับมา แต่ยังดีที่แผงแนวรับได้ทั้ง มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ (โขกประตูชัย) และฟิลิปป์ ลาห์ม กลับมาบัญชาการ ทำให้หลังบ้านไม่น่าเป็นห่วงเลย
 

 เบเนดิกท์ โฮเวเดส ที่คาดการณ์กันว่าจะต้องโดน มาติเยอ วัลบูเอน่า เพลย์เมคเกอร์ตัวจี๊ดปั่นหัว กลับไม่เจองานยาก

 หลังจากที่เยอรมันออกนำเร็ว ฝรั่งเศส ดูจะกดดันตัวเอง และเล่นพลาดกันบ่อย วัลบูเอน่า ก็เป็นหนึ่งในนักเตะเหล่านั้นเช่นกัน

 เยอรมัน ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ศึกฟุตบอลโลก เป็นครั้งที่ 10 จาก 13 เวิลด์ คัพ นับตั้งแต่ปี 1966

 ขุนพล "ได มันน์ชาฟท์" ยังสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นทีมแรกที่สามารถกรุยทางผ่านเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลโลกได้ 4 สมัยติดต่อกัน

 เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดยาวจาก เนสตอร์ ปิตาน่า ผู้ตัดสินชาวอาร์เจนตินา แฟนบอล, นักเตะ และบรรดาสตาฟฟ์เยอรมันต่างพากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ทว่ามีเพียงคนเดียวที่ยังนิ่งงันและไม่มีการเคลื่อนไหว

 โยอัคคิม เลิฟ ยืนสงบนิ่งอย่างไร้อารมณ์บนเส้นขอบสนาม แววตาบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังคิดถึงก้าวต่อไปที่ใหญ่กว่าเดิม

 เลิฟ รู้ดีว่าจะต้องเจออะไรในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งมันเป็นรอบที่เยอรมันผ่านเข้าไปเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ว่าไม่เคยไปได้ไกลกว่านี้ นับตั้งแต่การเป็นรองแชมป์เมื่อ 12 ปีก่อน

 ต่อจากนี้ เลิฟ จะต้องทำการบ้านหนักกว่าเดิมเป็น 10 หรืออาจจะร้อยเท่า ในการรับมือกับทีม บราซิล เจ้าภาพในรอบรองชนะเลิศ

 เขาจะต้องกระตุ้นลูกทีมให้คงมาตรฐานที่มีอยู่ พร้อมกับพยายามรีดประสิทธิภาพในเกมรุกออกมาให้มากกว่านี้

 ทัพ อินทรีเหล็ก จะล้างอาถรรพ์การเป็นเพียงแค่พระเอกในรอบรองฯ ได้หรือไม่ 8 ก.ค.นี้เราจะได้รู้กัน