หลุยส์ ฟาน กัล เปิดตัวเรียบร้อยในฐานะกุนซือใหม่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมเสียงชื่นชม เมื่อเจ้าตัวประกาศบริจาคเงินก้อนโตจากสัญญากับ "ปีศาจแดง" จำนวนถึง 1.2 ล้านปอนด์ (ราว 66 ล้านบาท) เข้าการกุศล ด้วยความที่ตัวเองชอบทำบุญเป็นสม่ำอยู่แล้ว

        และแน่นอนว่า "แอลวีจี" เปิดตัวท่ามกลางความยินดีปรีดาของแฟนผีด้วย
 
        นี่คือโค้ชที่ว่ากันว่า เปี่ยมด้วยฝีมือมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ และมีคุณสมบัติครบถ้วนในการเข้ามากอบกู้สถานการณ์ของ "ปีศาจแดง" หลังจากล้มเหลวภายใต้การบริหารของ เดวิด มอยส์ ในฤดูกาลที่ผ่านมา
 
        ว่าไปแล้ว ทั้งสองโค้ช มีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
 
        ขณะที่ มอยส์ ดูเป็นสุภาพบุรุษผู้สุขุมนุ่มลึก แต่ในทางตรงกันข้าม "แอลวีจี" เป็นคนที่มุทะลุ บ้าบิ่น
 
        ครั้งหนึ่งกุนซือดัตช์เคยถลกกางเกงโชว์ของสงวนต่อหน้าลูกทีมมาแล้วสมัยคุม บาเยิร์น มิวนิค เพื่อแสดงให้ ลูก้า โทนี่ กองหน้าอิตาเลี่ยนได้เห็นว่า เขามี "พวง" อำนาจที่สามารถหั่นใครก็ได้ออกจากทีม
 
        เขาคือผู้จัดการทีมที่อีโก้สูง เชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งข้อที่กุนซือเก่งๆ มักมี และแน่นอน เรื่องแตกหัก หรือซดเกาเหลากับลูกทีม กระทั่งนักข่าว ถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขา
 
        แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือความสำเร็จที่เป็นเป้าหมายสำคัญ
 
        นายใหญ่วัย 62 ที่นำทีมชาติฮอลแลนด์คว้าอันดับสามศึก เวิลด์ คัพ 2014 ตระเวณคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศถึงเจ็ดครั้ง ทั่วภาคพื้นทวีปยุโรปถึงสามประเทศ บวกกับแชมป์ฟุตบอลถ้วยอีกสาม, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หนึ่ง เช่นเดียวกับ ยูฟ่า คัพ และโทรฟี่อื่นๆ อีกเจ็ดใบ อาทิ ซูเปอร์ คัพ เป็นต้น
 
        เขาอาจไม่ค่อยมีเพื่อน แต่หนึ่งในมิตรแท้ของเขาคือความสำเร็จ
 
        อัตราการนำทีมคว้าชัยของ ฟาน กัล พุ่งปรี๊ดสูงถึง 62 เปอร์เซนต์ ตลอดชีวิตการทำงานเป็นกุนซือ 23 ปี
 
        เป็นตัวเลขที่น่าประทับใจไม่น้อยเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมองไปถึงโลเกชั่นที่ ฟาน กัล เคยไปจอดลงอย่าง อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม, บาร์เซโลน่า, อาแซด อัลค์มาร์ และ บาเยิร์น มิวนิค
 
        กระนั้น ความไม่สงบเรียบร้อยมักเกิดขึ้นทุกแห่งหนที่เขาเคยไป
 
        ตอนอยู่กับ บาเยิร์น มีคำถามเกี่ยวกับทักษะการจัดการคนของเขา จากการด่ากราดในห้องแต่งตัว จนทำให้นักเตะบางคนน้ำตาร่วงเลยทีเดียว ขณะที่ คาร์ล-ไฮน์ซ รุมเมนิกเก้ บอร์ดระดับสูงของ "เสือใต้" ถึงกับเอ่ยว่า "สไตล์การจัดการของเขา ทำให้ผมนึกถึง เฟลิกซ์ มากัธ วิธีการแบบนี้ มันไม่ทำให้คุณมีเพื่อนเลย"
 
        แต่กองเชียร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจยักไหล่ เพราะสไตล์ของ ฟาน กัล ไม่ได้แตกต่างมากนักกับอดีตบิ๊กบอส เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
 
        แฟร้งค์ เดอ บัวร์ หนึ่งในคนสนิทของ ฟาน กัล เคยกล่าวไว้ว่า "ดิ ไอรอน ทิวลิป" พร้อมเปิดรับทุกไอเดีย แต่สุดท้าย ก็จะเชื่อว่า ของตัวเองต่างหากที่ดีที่สุด
 
        ผลงานสร้างชื่อของ ฟาน กัล คือในช่วงต้นของชีวิตกุนซือที่ปั้นเด็กขึ้นมาช่วยนำความยิ่งใหญ่สู่ อาแจ็กซ์ ทั้ง เอ๊ดการ์ ดาวิดส์, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ และ แพทริค ไคลเวิร์ต ในทีมชุดแชมป์ยุโรปเมื่อปี 1995 และรองแชมป์ในอีก 12 เดือนถัดมา
 
        ความสำเร็จของเขาที่ อัมสเตอร์ดัม คือแปดโทรฟี่ในรอบหกปี ส่งผลให้ ฟาน กัล ได้รับพระราชทานเครื่องราชย์อิสริยาภรณ์ชั้นอัศวิน
 
        เขาก้าวออกนอกแดนกังหันลม เพื่อไปเสียบแทน บ๊อบบี้ ร็อบสัน ที่ บาร์โลน่า ในปี 1997 และนำรูปแบบการสร้างทีมที่เรียกว่า "orangeprint" มาด้วยที่ คัมป์ นู
 
        แล้วความไม่สงบก็มาเยือน เมื่อ ริวัลโด้ ดาราเอกของ บาร์ซ่า ไม่แฮปปี้กับการถูกถ่างให้ไปเล่นริมเส้น ขณะที่ ฟาน กัล ก็ไม่ได้ผ่อนปรนอะไรให้
 
        นักเตะดัตช์กว่าแปดคน ถูกออร์เดอร์เข้ามาสู่ คัมป์ นู และแม้จะได้แชมป์ ลา ลีกา และ โกปา เดล เรย์ แต่ด้วยสไตล์ของเขา ทำให้ ฟาน กัล ต้องอำลาแคว้นกาตาลุนย่าในปี 2000 พร้อมกับทิ้งระเบิดใส่สื่อกระทิงดุ "เพื่อนสื่อมวลชนที่รัก ผมไปละนะ ขอแสดงความยินดีด้วย"
 
        หนึ่งในรอยด่างบนเส้นทางการทำงานของเขา คือการที่ไม่สามารถนำทีมชาติฮอลแลนด์ไปลุย เวิลด์ คัพ 2002 ได้ เมื่อจบรอบคัดเลือก ตามหลัง โปรตุเกส และสาธารณรัฐไอร์แลนด์
 
        ในปี 2005 เขาจับงานคุมทีมที่ไม่ได้โด่งดังอะไรอย่าง อาแซด อัลค์มาร์ ก่อนจะทำให้ทีมกล้าๆ ก้าวขึ้นมาประกาศศักดาเหนือ อาแจ็กซ์, พีเอสวี ไอน์ดโฮเฟ่น และ เฟเยนูร์ด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปีที่ทีมอื่นนอกเหนือจาก "บิ๊กทรี" ได้แชมป์ เอริดิวิซี่
 
        ในฤดูกาลแรกกับ บาเยิร์น คือ 2009/10 เขาโดน อินเตอร์ มิลาน ของศิษย์เก่า โชเซ่ มูรินโญ่ ดับฝันทริปเปิ้ลแชมป์ทั้ง บุนเดสลีกา, ฟุตบอลถ้วย และ แชมเปี้ยนส์ ลีก
 
        แต่อีก 12 เดือนถัดมา ฟาน กัล ก็ต้องระเห็จออกจากถ้ำ "เสือใต้" เมื่อ บาเยิร์น ร่วงลงไปรั้งอันดับสามบนตารางบุนเดสลีกา พร้อมกับข่าวความไม่สงบเรียบร้อยในห้องแต่งตัว
 
        เขาตัดสินใจกลับมาแก้ปมในใจด้วยการรับงานคุมทีมชาติฮอลแลนด์อีกรอบ และคราวนี้ "อัศวินสีส้ม" ก็สามารถตีตั๋วเข้าสู่รอบสุดท้ายศึกฟุตบอลโลกได้สำเร็จ ก่อนผงาดคว้าอันดับสามด้วยขุนพลพลังหนุ่ม บวกกับกึ๋นของ ฟาน กัล ที่แสดงให้โลกเห็นเป็นระยะตลอดเส้นทาง
 
        ทันทีที่จบศึก เวิลด์ คัพ 2014 ที่ บราซิล แล้ว ฟาน กัล ก็โยกย้ายมาเขียนเรื่องราวบทใหม่ให้ชีวิตที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทันทีโดยไม่ยอมพักร้อนให้เสียเวลา
 
        หลังจากผ่านฤดูกาลอันแสนเจ็บปวดแล้ว แฟนผีทุกผู้ทุกนามกำลังเฝ้าคอยซีซั่นใหม่อย่างใจจดใจจ่อ...