ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน 2559

อาร์เซน่อล 3 - เชลซี 0

        สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

         เกมลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ คู่ปิดท้ายวันเสาร์ อาร์แซน เวนเกอร์ ฉลองการคุมทีมอาร์เซน่อล ครบ 20 ปี รับการมาเยือนของเชลซี โดยไม่มีการเปลี่ยนโผ 11 ตัวแรกจากเกมบุกไปยำใหญ่ฮัลล์ 4-1 เมื่อสัปดาห์ก่อน

         ฝ่ายสิงห์บลูส์ ซึ่งแพ้ลิเวอร์พูล คารัง 1-2 ปรับทัพรายเดียว โดยส่ง เชส ฟาเบรกาส อดีตกองกลางเดอะ กันเนอร์ส ออกสตาร์ตแทนออสการ์ ซึ่งเป็นการลงบู๊ตัวจริงในลีกนัดแรกของสตาร์ทีมชาติสเปนในซีซั่นนี้ด้วย

         เกมเริ่มได้ไม่กี่นาที เจ้าบ้านชิงหาโอกาสทักทายได้ก่อน เมื่อ ซานติ กาซอร์ล่า กระชากบอลจากด้านขวาเข้ามากระทุ้งระยะ 25 หลา แต่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ปัดทิ้งได้สำเร็จ

ถึงกระนั้น นาทีที่ 11 แฟนปืนใหญ่ก็ได้เริงร่า เมื่อ แกรี่ เคฮิลล์ ก่อความผิดพลาดในซีซั่นนี้ซ้ำอีก หลังรับบอลจ่ายคืนมาแล้วส่งคืนให้กูร์กตัวส์ช้า เลยโดน อเล็กซิส ซานเชซ ตามมาฉกแย่งลากเข้าเขตโทษไปชิพข้ามนายทวารทีมเยือนตุงตาข่าย เบิกสกอร์ให้อาร์เซน่อลนำ 1-0

         เท่านั้นไม่พอ อีกสามนาทีสกอร์ก็ไหล โดยคราวนี้ อเล็กซ์ อิโวบี้ แทงบอลจากแถวสองเข้าเขตโทษด้านขวาให้ เอคตอร์ เบเยริน ปาดมาหน้าประตูเปิดทางให้ ธีโอ วัลค็อตต์ เข้าฮอสง่ายๆ พาเดอะ กันเนอร์ส นำห่างเป็น 2-0

สิงห์บลูส์ยังไม่ถอดใจง่ายๆ และนาทีที่ 21 ก็บุกขึ้นมาสวยจนน่าจะตีไข่แตกได้สำเร็จ เมื่อ เอแด็น อาซาร์ สปีดขึ้นทางซ้ายก่อนไหลบอลเข้าในทำชิ่งกับ ดีเอโก้ คอสต้า ก่อนที่มิดฟิลด์ร่างเล็กจะแปเข้าเขตโทษด้านขวาอีกทีให้วิลเลี่ยนสับไกระยะ 15 หลา เฉี่ยวเสาอีกฟากไปแค่นิดเดียว

         เชลซีเริ่มบุกได้อันตรายมากขึ้น แต่นาทีที่ 28 ทีมปืนโตได้โต้กลับ แล้วซานเชซจ่ายบอลให้อิโวบี้ โดน บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ตามมาสะกิดล้มหน้าเขตโทษ ผู้ตัดสินจึงมอบใบเหลืองให้แนวรับทีมเยือน แต่ซานเชซตะบันลูกฟรีคิกระยะ 23 หลา ชนกำแพง

         อย่างไรก็ดี นาทีที่ 31 ฟร็องซิส โกเกอแล็ง มีอาการบาดเจ็บในจังหวะปะทะกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และเล่นต่อไม่ไหวหลังจากแพทย์ลงไปดูอาการ เจ้าบ้านจึงส่งชาคาลงไปเสียบแทนดาวเตะเฟร้นช์แมน

อาคันตุกะเร่งเครื่องเต็มสูบแล้ว หมายตีไข่แตกให้ได้ แต่นาทีที่ 40 ก็มาเสียท่าให้กับลูกโต้ของเจ้าบ้าน โดย เมซุต โอซิล พาบอลบุกขึ้นมาทำชิ่งกับซานเชซก่อนได้รับลูกจ่ายคืนให้กรอบเขตโทษด้านซ้าย แล้วง้างเกือกวอลเลย์ส่งบอลตกพื้นกระดอนข้ามกูร์กตัวส์ไปชนเสาอีกฟากเข้าปะทะตาข่าย จึงเป็นอันว่า เดอะ กันเนอร์ส โขยกหนีไปเป็น 3-0

         เข้าสู่ช่วงทดเวลา เชลซีมาได้ลูกฟรีคิกทางฝั่งซ้ายหลังจากอาซาร์โดนวัลค็อตต์ทำฟาวล์ ฟาเบรกาสจึงสาดเข้าไปที่หน้าประตู ถูก ปีเตอร์ เช็ก ชกบอลออกไปอีกฟาก แต่อาซาร์ง้างยิงเข้าข้างตาข่าย จบครึ่งแรก ทีมปืนใหญ่จึงนำห่าง 3-0

         ครึ่งหลัง ทางเชลซียังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น และบุกเข้าใส่อาร์เซน่อลมากกว่าเดิมเนื่องจากต้องการทำประตูตีตื้นมาให้เร็วที่สุด แต่นาทีที่ 53 อาร์เซน่อลมีลุ้นเมื่อสวนกลับขึ้นไปทางขวา วัลค็อตต์เปิดไปทางเสาไกลแต่ อเล็กซิส ซานเชซ ขึ้นโหม่งไม่ถึง

ต่อมานาทีที่ 55 เชลซีเปลี่ยนตัวคนแรกส่ง มาร์กอส อลอนโซ่ ลงไปแทน เชส ฟาเบรกาส และนาทีที่ 61 เชลซีมีโอกาสมากที่สุดในครั้งแรกในครึ่งหลัง เมื่ออัซปิลิกวยต้า เปิดบอลจากทางขวาเข้าไปในเขตโทษให้คอสต้าโหม่งแต่หลุดกรอบออกไป

         นาทีที่ 68 บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ยิงไกลแต่ข้ามคานออกไปแบบไม่มีลุ้นเลย และนาทีที่ 69 อาร์เซน่อลสวนกลับขึ้นไปแล้ว วัลค็อตต์หลุดเข้าไปทางขวาในเขตโทษก่อนจะยิงไปติดกูร์กตัวส์

         ถัดมาอาร์เซน่อลเปลี่ยนเอา คีแรน กิ๊บบ์ส ลงไปแทน อเล็กซ์ อิโวบี้ สวนทางเชลซี ส่งเปโดรลงไปแทนวิลเลี่ยน และ มิชี่ บาตชูอายี่ ไปแทน เอแด็น อาซาร์ แต่อาร์เซน่อลก็ยังมีโอกาสลุ้นทำประตูเพิ่มอีกแม้ว่าจะไม่ได้เพิ่ม แต่เชลซีเองก็ไม่สามารถทำประตูตีไข่แตกได้ก่อนจะจบลงอาร์เซน่อลเปิดรังเอาชนะเชลซีไป 3-0 เป็นการชนะ ''สิงห์บลูส์'' ครั้งแรกในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา พร้อมขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ของลีกมี 13 คะแนนแซงหน้า "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน ด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่า โดยตามหลัง "จ่าฝูง" แมนฯซิตี้ ที่มี 18 คะแนนแค่ 5 แต้มเท่านั้น
 

        รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

         อาร์เซน่อล : ปีเตอร์ เช็ก, เอคตอร์ เบเยริน, ชโคดราน มุสตาฟี่, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่, นาโช่ มอนเรอัล, ฟร็องซิส โกเกอแล็ง (กรานิต ชาคา น.31), ซานติ กอซอร์ล่า, ธีโอ วัลค็อตต์, เมซุต โอซิล, อเล็กซ์ อิโวบี้ (คีแรน กิ๊บส์ น.68), อเล็กซิส ซานเชซ (โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ น.79)
 

         เชลซี : ติโบต์ กูร์กตัวส์, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, แกรี่ เคฮิลล์, ดาวิด ลุยซ์, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, เนมานย่า มาติช, วิลเลี่ยน (เปโดร น.69), เชส ฟาเบรกาส (มาร์กอส อลอนโซ่ น.54), เอแด็น อาซาร์ (มิชี่ บาตชูอายี่ น.70), ดีเอโก้ คอสต้า