โดยทีมชาติไทยนั้น จะเป็นฝ่ายที่จะต้องบุกไปเยือนก่อนในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ ก่อนที่จะกลับมาลงเล่นในบ้านตัวเองสนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 17 ธ.ค. ซึ่งการเจอ อินโดนีเซีย ครั้งนี้หลายคนอาจจะมองว่าเป็นงานที่ง่ายอย่างมากมาย

        เพราะในรอบแรก กลุ่ม เอ ศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 ทีมชาติไทย เอาชนะมาได้ 4-2 จากแฮตทริกของ "กัปตันมุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา แต่ถ้าให้มองกันจริงๆ อินโดนีเซีย มีลูกโต้กลับและการเดินทางเครื่องทางริมเส้นที่ดีไม่น้อยเลยเดียว อีกทั้งยังมาได้ 2 ประตูติดกันในช่วงครึ่งหลังก่อนจะตามตีเสมอ "ช้างศึก" 2-2 ด้วยซ้ำไป

        ในวันนี้เราจึงขอมาพูดถึงการเผชิญหน้ากันของ อินโดนีเซีย และ ทีมชาติไทย ยามที่ "ช้างศึก" จะต้องเป็นฝ่ายออกไปเยือนในรังพลพรรคอิเหนา ของถ้วย เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ก่อน ว่าจะมีผลงานเป็นอย่างไรกันบ้าง เชิญเหวี่ยงสายตาชมข้อมูลใน ณ บัดเดี๋ยวนี้

"นนท์นี่คุง"

ปี 2002 : ใบแดง, ฏีกา, ไทยบุกคว้าแชมป์

        การพบกันของทั้ง  2 ทีมนี้ ที่บ้านของ อินโดนีเซีย เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2002 หรือ อาเซียน คัพ หนที่ 4 โดยทั้งคู่ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ "ช้างศึก" ที่มี ปีเตอร์ วิธ กุมบังเหียนในตอนนั้น มีผลงานรอบรองชนะเลิศ ในการได้ 3 ดาวรุ่งในตอนนั้น ทั้ง ณรงค์ชัย วชิรบาล, มานิตย์ น้อยเวช, ศักดา เจิมดี ผนึกกำลังกับรุ่นพี่ วรวุธ ศรีมะฆะ ไล่ยิง เวียดนาม ไป 4-0

        โดยที่สนาม กีโลร่า บัง การ์โน่ หรือ "เสนายัน" เดิม ซึ่งเป็นรังของอินโดนีเซีย ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความหลอนจากแฟนบอลเป็นอย่างดี การฟาดแข้งของทั้งสองทีมเป็นไปด้วยความดุเดือดอย่างมาก เนื่องจากทีมชาติไทยต้องเหลือ 10 คน หลังจาก ชูเกียรติ หนูสลุง มารับใบแดงในครึ่งหลัง ทำให้อิเหนาที่ผู้เล่นเยอะกว่าไล่ตามตีเสมอ 2-2 ก่อนที่จะต้องมาตัดสินจุดโทษ

        ปรากฏว่า ทีมชาติไทยอาศัยความแม่นกว่าจาก ศักดา เจิมดี, เทิดศักดิ์ ใจมั่น, มานิตย์ น้อยเวช และการชิพแบบเชือดนิ่มๆของ ดุสิต เฉลิมแสน แม้ว่า เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง จะซัดไม่เข้าลูกแรก แต่ก็เพียงพอในการคว้าแชมป์ในการฏีกา 4-2 สกอร์รวม "ช้างศึก" ทุบ 6-4 คว้าแชมป์หนที่ 3 จาก 4 ครั้งได้สำเร็จ

ปี 2008 : บุกเฉือนหวิวก่อนเข้าสู่รอบชิงฯ

        6 ปีต่อมา ทีมชาติไทย มีโอกาสกลับไปเยือนสนาม กีโลร่า บัง การ์โน่ หรือ "เสนายัน" อีกครั้ง ซึ่งใน อาเซียน คัพ 2008 ทีมชาติไทยใช้บริการกุนซือตาน้ำข้าวอย่าง ปีเตอร์ รีด หวังจะพาขุนพลจากฝั่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา กลับมาคว้าบัลลังก์เบอร์ 1 อาเซียนให้ได้