"เจลีกคือความฝันและความท้าทายของผม"

ชนาธิป สรงกระสินธิ์ ดาราแข้งทองทีมชาติไทยหรือที่เรารู้จักกันในนาม "เมสซี่เจ" เคยเปิดใจไว้เช่นนี้

แน่นอนเมื่อเราทวนเวลากลับไป ย่อมต้องเชื่อว่ามันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่นักเตะไทยสักคนจะก้าวไปถึงการเล่นในลีกสูงสุดของฟุตบอลญี่ปุ่น

ด้วยมาตรฐานที่ค่อนข้างต่างกันไม่น้อย ฟุตบอลญี่ปุ่นถีบตัวเองหนีไปไกลจากเรามาก จนเหมือนอยู่คนละเลเวล มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีแข้งจากไทยแลนด์สักคนเข้าไปมีส่วนร่วมในเจ ลีก

แต่สำหรับ "เมสซี่เจ" เขาไม่ยอมแพ้ให้กับความฝันของตัวเอง

จากเด็กตัวเล็กๆ ที่มีความฝันที่อยากเป็นนักฟุตบอล และต้องพบกับความผิดหวังโดยตลอด  ด้วยเหตุผลที่น่าเศร้าว่า "ตัวเล็กเกินไป" เพราะโค้ชแทบทุกคนเชื่อว่าเบื้องต้นของการเป็นนักฟุตบอลที่ดีได้คือต้องมี รูปร่างลำหักลำโค่นที่พอเหมาะพอเจาะด้วย 

ทว่า ชนาธิป ก็ทำลายความเชื่อนี้ซะจนราบคาบ เมื่อเขาแสดงให้เห็นว่าตัวกระเปี๊ยกเดียวแค่นี้อย่างที่ใครต่อใครปรามาส หาได้เป็นอุปสรรคขวางกั้นความสำเร็จได้

เมื่อพาณิชยการราชดำเนินเปิดอ้อมแขนรับเข้ามาร่วมทีม เขาเริ่มตอบแทนด้วยการพาทีมคว้าแชมป์กรมพลศึกษา 18 ปีประภท ก. สำเร็จ

หลังจากนั้น บีอีซี เทโรศาสนกลับเป็นสโมสรแรกที่เปิดโอกาสให้กับ "เมสซี่เจ" ได้ปลดปล่อยความสามารถของตัวเองบนฟอลร์หญ้า และเพียงแค่นัดแรกที่ลงสนามในฐานะตัวสำรอง เขาก็ทำประตูได้ทันทีกระชากจากกลางสนามเข้าไปซัดตาข่ายกระเจิง ช่วยให้ "มังกรไฟ" ชนะการท่าเรือ 2-0

       นั่นคือจุดเริ่มต้นสู่ฝันอย่างแท้จริง

ความฝันของเขาถูกแต่งเติมถักทอเรื่อยมา เริ่มตั้งแต่การติดทีมชาติระดับเยาวชน ขึ้นมาเป็นกัปตันทีมชุดยู23 ผงาดครองแชมป์ซีเกมส์ ด้วยสไตล์การเล่นอันน่าตื่นตาเร้าใจ ในแบบฉบับของนักเตะตัวกระเปี๊ยกแต่เต็มไปด้วยความปราดเปรื่อง คล่องตัวและสปีดต้นที่จัดจ้าน ไม่ต่างจาก ลิโอเนล เมสซี่ แข้งเบอร์1ของโลกฟุตบอลคนปัจจุบัน

ไม่มีอะไรหยุดเขาได้อีกต่อไป ทันทีที่โยกจากบีอีซี เทโรศาสนมายังเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดเมื่อปีที่แล้ว "เมสซี่เจ" ก็สำแดงเดชช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ไทยลีกมาครองได้อีกสมัย รวมถึงซิวแชมป์โตโยต้าลีกคัพร่วมกับบุรีรัมย์อีกรางวัลด้วย

เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเป็นกระดูกสันหลังของทีมชาติไทย ช่วยฝ่าด่านในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 เข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชียอีกต่างหาก

แต่ที่เป็นไฮไลต์ล่าสุดคงต้องยกให้การเป็นเจ้าแห่งลูกหนังอา เซียน เพราะ ชนาธิป คือฟันเฟืองที่สำคัญผลักดันให้ทีมชาติไทยครองแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพอย่างยิ่งใหญ่อีกต่างหาก พร้อมกันนั้นตัวเขาเองยังได้รับเลือกให้คว้าราวัลเอ็มวีพีหรือนักเตะทรงคุณ ค่าประจำทัวร์นาเม้นต์อีกด้วย

ด้วยผลงานอันยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับรูปร่างไซส์มินิ ส่งผลให้เขาติดทำเนียบ 1 ใน 50 ของนักเตะเอเชียที่น่าจับตา จากการคัดเลือกของโฟร์ โฟร์ ทูนิตยสารและสื่อลูกหนังชั้นนำระดับโลกอีกด้วย ซึ่ง ชนาธิป คือแข้งจากอาเซียนเพียงคนเดียวที่ติดโผ

ช่วงเวลาที่ฟอร์มของเขากำลังพีกสุดขีดนั่นเอง คอนซาโดเล่ ซัปโปโร สโมสรเบอร์1แห่งเกาะฮอกไกโดที่ตอนนั้นยังเล่นอยู่ในเจทู กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด

กระทั่งหลังฉลองแชมป์ซูซูกิคัพผ่านพ้นไป โต๊ะเจรจาระหว่าง คอนซาโดเล่ กับ เมืองทองจึงถูกกางขึ้น ก่อน ชนาธิป จะได้กอดความฝันของตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิ

สิ่งที่น่าสนใจคือฟุตบอลญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของรูป ร่างและมีการพัฒนาเรื่องนี้มาโดยตลอด เพื่อให้ทัดเทียมกับพวกยุโรป ทำไมถึงเลือกนักเตะตัวกระเปี๊ยกเดียวอย่างนี้ไปร่วมทีม

โยชิคาซู โนโนะมูระ ประธานสโมสรคอนซาโดเล่ให้เหตุผลอย่างน่าสนใจว่า ได้จับตามอง ชนาธิป อย่างใกล้ชิดมาพอสมควร โดยเฉพาะในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่ผ่านมา ซึ่งเห็นความสามารถอันน่าทึ่งได้อย่างชัดเจน

นอกจากความเร็ว ความคล่องตัวที่ถือเป็นพื้นฐานหลักที่สำคัญแล้ว "เมสซี่เจ" ยังเป็นคนที่มีสติ และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่เสี้ยววินาทีสามารถเปลี่ยนทิศทางการเล่นหรือจ่ายทะลุช่องแบบได้เสีย เลยทันที

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหานักเตะคุณสมบัติเช่นนี้

สอดคล้องกับ ชูเฮอิ โยโมดะ กุนซือของทีมที่มองจุดเด่นนี้ของ ชนาธิป จะช่วยสร้างมิติที่แตกต่างให้กับเกมรุกของทีมได้อย่างแน่นอน

อย่างที่รู้กันนั่นแหล่ะว่า การเป็นนักฟุตบอลที่เก่งในโลกของฟุตบอลนั้น ต้องมาจากทั้งร่างกาย มันสมอง และการมีสติ ในการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

เคล็ดลับนั้นอาจไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของพรสวรรค์ และหมั่นฝึกซ้อมเรียนรู้จนเกิดความคุ้นเคย

แต่ในความเป็นจริงแล้วโภชนาการการดูแลตัวเองให้มีความพร้อมเสมอ ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

"เมสซี่เจ" เคยเปิดใจว่าเมื่อเขาได้เขามาอยู่ในทีมชาติไทยภายใต้การดูแลของหัวหน้าโค้ช ซิโก้ ทำเขาเห็นว่า การเล่นบอล ไม่ได้ใช้แค่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้น ยังต้องใช้สมองและไหวพริบในการเล่นอีกด้วย ตรงนี้เองยิ่งเป็นการตอกย้ำให้กับเจเกี่ยวกับเรื่องการดูแลตัวเองให้มีความพร้อมในด้านของร่างกาย และความคิด รวมทั้งการดูแลในเรื่องของโภชนาการ ที่เจเองได้สูตรลับมาจาก โค้ช ซิโก้ เต็มๆ ที่โค้ชซิโก้ จะปลูกฝังลูกทีมในการ “การดื่มแบรนด์ซุปไก่สกัด” เป็นประจำในทุกแมทไม่ว่าจะเป็นแค่การซ้อมหรือลงแข่งจริง  โดยสูตรลับของการดื่มแบรนด์ซุปไก่สกัดที่บอกต่อกันในทีมจะเป็น  “ก่อน1 หลัง2” 

ที่ก่อนลงแข่ง หรือซ้อมจะต้องดื่มก่อน 1 ขวด และหลังจบการลงสนาม จะต้องดื่มตามอีก 2 ขวด ซึ่งเป็นความเชื่อที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นสูตรนี้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้ เจเคยชินกับการดื่มแบรนด์เป็นประจำเรื่อยมาและรับรู้ได้เลยว่ามันส่งผลอย่างมาก โดยเฉพาะยามที่อยู่ในสนามและในสถานการณ์อันคับขันต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

เพราะเมื่ออยู่ในเกมแล้ว สมองของนักฟุตบอลต้องทำงานตลอด ต้องครุ่นคิดที่จะเอาชะฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมันไม่น่าแปลกใจว่าทำไม "เมสซี่เจ" ถึงทำได้บ่อยครั้งยามอยู่ในสังเวียน

คุณสมบัติตรงนี้เองที่ช่วยต่อยอดความฝันของเขาให้เป็นจริง ด้วยการไปค้าแข้งในเจลีกของญี่ปุ่น

เพราะความฉลาดหลักแหลม และกำลังแข้งในสนาม สามารถทดแทนเรื่องรูปร่างได้หายห่วง ไม่มีใครสนว่าเขาจะตัวเล็กเกินไปหรือเปล่าอีกแล้ว

แต่ละเกมที่ ชนาธิป ลงสนามทุกคนจะโฟกัสตรงที่การเล่นด้วยมันสมองอันปราดเปรื่องของเขาต่างหาก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เพราะมันสมองนี่แหล่ะที่นำเขามาสู่ความสำเร็จ

และแบรนด์ซุปไก่สกัดเอง ก็เป็นหนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จของตัวเจเอง

และเป็นข่าวดีที่ปีนี้ แบรนด์ซุปไก่สกัดได้เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนฟุตบอลทีมชาติไทยอย่างเต็มตัวในปีนี้ เพื่อให้ขุนพลช้างศึกได้เตรียมความพร้อมกันได้อย่างเต็มที่ และนี่เองน่าจะเป็นแรงสำคัญที่ทำให้แข้งช้างศึกพร้อมยิ่งขึ้นไปอีก กับศึกใหญ่ในปีนี้ที่จะมาถึง

และเรียกได้ว่าการที่แบรนด์ซุปไก่สกัดได้ทุ่มงบประมาณสนับสนุนฟุตบอลทีมชาติไทยในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการตอกย้ำว่า แบรนด์ซุปไก่สกัดเองพร้อมที่จะสนับสนุนทุกความสำเร็จ ทุกความฝัน

อย่าลืมว่าทุกคนล้วนมีความฝันกันทั้งนั้นแหล่ะ

"เมสซี่เจ" คือตัวอย่างชัดเจนที่สุดอยู่แล้ว

เพียงแค่มีความมุ่งมั่นทุ่มเท และพร้อมในทุกวัน ความสำเร็จที่ว่าไกล ก็คงไม่ได้ไกลเกินฝัน