ปรีวิวฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

(รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก)

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560

เรอัล มาดริด (สเปน) - นาโปลี (อิตาลี)

ถ่ายทอดสด : บีอิน สปอร์ตส์ 2, (เวลา: 02.45 น.)

สนาม : เอสตาดิโอ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว, (มาดริด, สเปน)

        "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ยอดทีมของสเปนอยู่ภายใต้การคุมทัพของ ซีเนดีน ซีดาน กุนซือคนดังชาวฝรั่งเศส เพิ่งนำทัพยกพลทุบ โอซาซูน่า 3-1 เป็นการคว้าชัยในลีก 3 เกมติด นำจ่าฝูงต่อไป โดยนำหน้า บาร์เซโลน่า คู่ปรับสำคัญ 1 แต้ม แต่แข่งน้อยกว่าอยู่ถึง 2 นัด เลยทีเดียว และพวกเขายังเก็บชัยมาถึง 27 นัด จากการลงสนาม 32 เกมหลังสุดในลา ลีกา ด้วย

        ส่วนในถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เรอัล มาดริด ทำได้เพียงเสมอโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2-2 ในนัดสุดท้าย ทำให้เข้าป้ายในฐานะรองแชมป์กลุ่ม เอฟ

        สภาพทีมเกมนี้ เรอัล มาดริด ที่ชนะถึง 28 จากการลงเล่น 33 นัดหลังสุดในบ้านยามทำศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่มี แกเร็ธ เบล สตาร์ดังทีมชาติเวลส์วัย 27 ปี ที่ฟื้นตัวจากอาการเจ็บข้อเท้า กลับมาลงฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมได้แล้ว แต่ยังต้องเรียกความฟิตต่อไป ไม่มีชื่อติดทีมนัดนี้ ส่วน ดานิโล่ แบ็คขวาชาวบราซิลที่เจ็บจากเกมลา ลีกา นัดล่าสุดที่บุกชนะ โอซาซูน่า 3-1 ชวดบู๊เช่นกัน

        ข่าวดีคือได้ โทนี่ โครส มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมัน ที่ติดโทษแบนในลีกเมื่อสุดสัปดาห์ กลับมาเป็นตัวเลือกตามปกติในถ้วยนี้ เช่นเดียวกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกตัวฉกาจวัย 32 ปี ที่ฟื้นจากอาการเจ็บกล้ามเนื้อขาขวาเล็กน้อย กลับมาลงซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมได้แล้วเช่นเดียวกับ ฟาบิโอ โกเอนเตรา แบ็คซ้ายชาวโปรตุกีส ที่กลับมาซ้อมแล้ว

        ตำแหน่งผู้รักษาประตูให้ เคย์ลอร์ นาวาส นายทวารวัย 30 ปี ทีมชาติคอสตา ริกา ลงมาเฝ้าเสา พร้อมได้ความช่วยเหลือจาก เซร์คิโอ รามอส กัปตันทีมที่เพิ่งลงสนามให้ ''ราชันชุดขาว'' ครบ 500 นัด ยืนเซนเตอร์ฮาล์ฟกับ ราฟาแอล วาราน ขนาบข้างด้วยฟูลแบ็คอย่าง ดาเนียล การ์บาฆาล กับ มาร์เชโล่ วิเอยร่า

        ขุมกำลังในแดนกลางวางใจให้ โทนี่ โครส, คาเซมีโร่ และ ลูก้า โมดริช ลงทำเกม ส่วนสามประสานแดนหน้าส่ง ลูกัส บาซเกซ, คาริม เบนเซม่า และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลงทะลวงตาข่าย

        ทางด้าน "อัซซูร์ร่า" นาโปลี ยอดทีมจากแดนมะกะโรนี อยู่ภายใต้การคุมทัพของเมาริซิโอ ซาร์รี่ ฟอร์มยังแรงต่อเนื่องในลีก หลังจากเปิดรังชนะ เจนัว 2-0 เก็บชัยเป็นนัดที่ 7 จาก 8 นัดหลังสุด (รวมทุกรายการ) พร้อมยืดสถิติไร้พ่ายเป็นนัดที่ 13 ติดต่อกันแล้ว

        ผลงานรายการนี้ ในรอบแบ่งกลุ่ม นาโปลี บุกเชือด เบนฟิก้า 2-1 เป็นการส่งท้ายตำแหน่งแชมป์กลุ่ม บี

        ความพร้อมแมตซ์นี้ได้ เอลเซอิด อีซาย แบ็คขวาทีมชาติแอลเบเนีย กับ โฆเซ่ กาเยฆ่อน ปีกตัวเก่งชาวสเปน พ้นโทษแบนในลีกเซเรีย อา กลับมาช่วยทีม โดยรายของ กาเยฆ่อน จะเป็นการกลับไปเยือนอดีตต้นสังกัดด้วย

        ในแนวรับไม่มี ลอเรนโซ่ โตเนลลี่ ปราการหลังที่ไม่สมบูรณ์ และไม่มีชื่อลงทะเบียนรายการนี้ แต่ขอเดินทางไปเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมทีมในสเปนด้วย ขณะที่ อีวาน สตรีนิช สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์

        ด้าน อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค กองหน้าตัวเก่งวัย 22 ปี ทีมชาติโปแลนด์ มีลุ้นกลับมาช่วยทีม หลังจากมีชื่อเป็นสำรองในเกมลีกล่าสุด ขณะที่ เลโอนาร์โด้ ปาโวเล็ตติ ดาวยิงวัย 28 ปี มีลุ้นประเดิมช่วยทีมในรายการนี้ หลังถูกส่งชื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว

        ผู้รักษาประตูใช้งาน โฆเซ่ เรน่า ลงมาเฝ้าเสา ส่วนเกมรับได้ ราอูล อัลบิโอล ปราการหลังจอมเก๋าวัย 31 ปี ที่จะกลับมาเจอกับสโมสรเก่า ลงยืนเซนเตอร์ฮาล์ฟกับ คาลิดู กูลิบาลี่ พร้อมได้ เอลซาอิด อีซาย หายเจ็บข้อเท้าจากการฝึกซ้อมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กลับมายืนเป็นแบ็คขวา อีกฟากเป็น ฟาอูซี่ กูล็อม ลงประจำการ

        ในแดนกลางมี มาเร็ค ฮัมซิค กัปตันทีมลงบัญชาการทัพ พร้อมได้  ปีโอเตอร์ ซีลินสกี้ กับ อมาดู ดิยาวาร่า คอยช่วยทำเกมและตัดเกมคู่แข่ง  

        สามประสานแดนหน้าร่างเล็ก แต่สุดอันตรายอย่าง โฆเซ่ กาเยฆ่อน, ดรีส์ เมอร์เท่นส์ และ ลอเรนโซ่ อินซินเย่ พร้อมลงล่าตาข่าย

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะได้ลงสนาม

        เรอัล มาดริด : เคย์ลอร์ นาวาส - ดาเนียล การ์บาฆาล, ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส (กัปตันทีม), มาร์เชโล่ วิเอยร่า - โทนี่ โครส, คาเซมีโร่, ลูก้า โมดริช - ลูกัส บาซเกซ, คาริม เบนเซม่า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้

        นาโปลี : โฆเซ่ เรน่า - เอลซาอิด อีซาย, ราอูล อัลบิโอล, คาลิดู กูลิบาลี่, ฟาอูซี่ กูล็อม - ปีโอเตอร์ ซีลินสกี้, อมาดู ดิยาวาร่า, มาเร็ค ฮัมซิค (กัปตันทีม) -โฆเซ่ กาเยฆ่อน, ดรีส์ เมอร์เท่นส์, ลอเรนโซ่ อินซินเย่

        ผู้ตัดสิน : ดามีร์ สโคมิน่า (สโลวีเนีย)

ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
- ครั้งเดียวที่เจอกันก่อนหน้านี้ เรอัล มาดริด เขี่ย นาโปลี ตกรอบแรก ยูโรเปี้ยน คัพ 1987-88 โดยชนะ 2-0 ในบ้าน ก่อนเสมอ 1-1 ที่อิตาลี
- อย่างไรก็ตาม เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายตกรอบ 7 จาก 8 ครั้งหลังที่ต้องเล่นเหย้า-เยือนกับทีมจากอิตาลีในยูโรเปี้ยน คัพ / ชปล. ยกเว้นเพียงการเจอโรม่า ในรอบ 16 ทีม ฤดูกาลที่แล้ว
- นี่เป็นฤดูกาลที่ 20 ติดต่อกันที่ เรอัล มาดริด ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ ชปล. เป็นสถิติของรายการ และผ่านเข้ารอบรองฯ ตลอด 6 ฤดูกาลหลังสุด
- นาโปลี คว้าแชมป์กลุ่มชปล. เป็นครั้งแรก หลังจบอันดับ 2 (2011-12) และอันดับ 3 (2013-14) อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยไปไกลกว่ารอบ 16 ทีม
- นับตั้งแต่ฤดูกาล 2010-11 เรอัล มาดริด ชนะ 33 จาก 39 เกมชปล. ที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว (เสมอ 4 แพ้ 2) โดยความพ่ายแพ้ 2 ครั้ง มาจากเกมกับบาร์เซโลน่า (เมษายน 2011)  และชาลเก้ (มีนาคม 2015)
- เรอัล มาดริด ไม่เคยพลาดทำประตูใน 33 เกมหลังสุดในบ้าน ถ้วยชปล. เป็นสถิติของรายการ โดยบาร์เซโลน่าเป็นทีมสุดท้ายที่ทำคลีนชีตที่เบร์นาเบว (2-0 เมื่อเมษายน 2011)
- ขณะเดียวกัน นาโปลีทำคลีนชีตครั้งเดียวจาก 10 เกมนอกบ้านชปล. ซึ่งมาจากการเยือนทีมสเปน (ชนะบียาร์เรอัล 2-0 เมื่อพฤศจิกายน 2011)
- อย่างไรก็ตาม นาโปลีไม่แพ้นอกบ้านในชปล. ฤดูกาลนี้ (ชนะ 2 เสมอ 1) โดยเกมเดียวที่แพ้ เกิดขึ้นที่ซาน เปาโล ในเกมกับเบซิคตัส (2-3)
- คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงไม่ได้ใน 433 นาทีหลังสุดที่ลงเล่นชปล. เป็นสถิตินานที่สุดของเจ้าตัวในการอยู่กับเรอัล มาดริด โดยเขาทำได้ 34 จาก 38 เกมรอบน็อกเอาต์ ให้กับราชันชุดขาว
- คาริม เบนเซม่า ทำ 4 จาก 6 ประตูหลังสุดในชปล.ของเรอัล มาดริด และเป็นผู้เล่นคนที่ 6 ที่ยิงแตะหลัก 50 ประตูในรายการนี้
- ดรีส เมอร์เท่นส์ ทำ 4 ประตูและ 2 แอสซิสต์จาก 8 ประตูหลังสุดในชปล. ของนาโปลี