ปรีวิวฟุตบอล ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2

วันพุธที่ 8 มีนาคม 2560

บาร์เซโลน่า (สเปน) - ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (ฝรั่งเศส)

(ผลนัดแรก เปแอสเช ชนะ 4-0)

ถ่ายทอดสดเวลา 02.45 น. : PPTV HD, บีอิน สปอร์ตส์ 1

สนาม : คัมป์ นู (บาร์เซโลน่า, สเปน)

          บาร์เซโลน่า แชมป์ลา ลีกา สเปน, แชมป์โกปา เดล เรย์ และแชมป์ซูเปร์โกปา เด เอสปันญ่า 2016 จะเปิด คัมป์ นู รับการมาเยือนของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แชมป์ทุกรายการของฝรั่งเศส เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2

          สำหรับผลงานนัดแรกที่เจอกันในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ เปแอสเช เปิด ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ กรุงปารีส ชนะ บาร์ซ่า ขาดลอย 4-0 อังเคล ดิ มาเรีย ปีกทีมชาติอาร์เจนตินาเหมาคนเดียวสองประตูนาที 18, 55 บวกกับประตูของ ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ และ เอดินสัน คาวานี่ นาที 40, 72 ตามลำดับ ท่าามกลางแฟนบอล 46,484 คน

          และสถิติที่ผ่านมายังไม่เคยมีทีมใดที่สามารถพลิกสถานการณ์ผ่านเข้ารอบแช มเปี้ยนส์ ลีกไปได้ หากนัดแรกแพ้ตั้งแต่ 4 ประตูขึ้นไป โดยก่อนหน้านี้สถิติการกลับมาดีที่สุดคือ เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า พลิกชนะเอซี มิลาน 4-0 หลังจากแพ้ในเกมนัดแรก 1-4 เมื่อปี 2004

          ทั้งสองยักษ์ใหญ่ผ่านเข้ามาเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังจาก  บาร์เซโลน่า ได้แชมป์กลุ่ม ซี ขณะที่ เปแอสเช คว้ารองแชมป์ของกลุ่ม เอ

          ส่วนสถิติการพบกันของทั้งสองทีม เจอกันมาแล้วถึง 14 ครั้ง แต่ถ้านับสถิติที่พบกันอย่างเป็นทางการก็คือ 10 ครั้ง เปแอสเช ชนะ 3 ในปี 1995, 2014, 2017 บาร์ซ่า ชนะ 4, เสมอ 3

          ก่อนหน้าเกมเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทั้งสองทีมเจอกันล่าสุดเมื่อฤดูกาล 2014-2015  ในรอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ 2 เปแอสเช เปิดบ้านชนะ บาร์เซโลน่า 3-2 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2014 และ นัดที่ 6 บาร์ซ่า ต้อน 3-1 ที่คัมป์ นู เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่ง บาร์ซ่า คว้าแชมป์กลุ่มเอฟ  และ ปารีสฯ ได้รองแชมป์ของกลุ่ม

           อีกทั้งในซีซั่น 2014-2015 พวกเขาเจอกันในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ปารีสฯ แพ้คาบ้าน 1-3 ในนัดแรก เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2015 และ บาร์ซ่า เปิดบ้านชนะ 2-0 ในนัดที่ 2 วันที่ 21 เมษายน โดยรวมผลสองนัด บาร์เซโลน่า ชนะด้วยสกอร์รวม 5-1

          ทางฝั่งของ บาร์เซโลน่า รั้งจ่าฝูงลา ลีกา สเปน เก็บไปแล้ว 60 คะแนน จากการลงสนาม 26 นัด มีแต้มมากกว่า เรอัล มาดริด รองจ่าฝูง 1 คะแนน แต่ราชันชุดขาวเตะน้อยกว่า 1 นัด และ เซบีย่า ทีมอันดับสามมี 56 คะแนน จากการลงเล่น 26 นัด

          หลุยส์ เอ็นรีเก้ เทรนเนอร์ชาวสเปนวัย 46 ปี ของ บาร์เซโลน่า นำทีมชนะ 4 นัดติดต่อกัน หลังจากเปิดบ้านต้อน เซลต้า บีโก้ 5-0 ในลา ลีกา นัดที่ 26 เมื่อวันเสาร์ที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา

          เวลานี้ทีมขาด อเล็กซ์ บีดาล แบ็กขวาบาดเจ็บข้อเท้าขวา เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งเขาพักยาว 5 เดือน เท่ากับว่า หมดสิทธิ์ลงเล่นทุกนัดที่เหลืออยู่ในฤดูกาลนี้

          นอกจากนั้น เฌเรมี่ มาติเยอ กองหลังวัย 33 ปี บาดเจ็บข้อเท้า ยังลงเล่นไม่ได้

          แต่ทีมได้ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กองหลังอาร์เจนตินาหายเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาซ้าย, อาร์ด้า ตูราน มิดฟิลด์ตุรกีหายเจ็บโคนขาหนีบและกล้ามเนื้อต้นขาขวา อีกทั้ง อันเดร โกเมส มิดฟิลด์โปรตุเกสหายป่วย กลับมาฝึกซ้อมได้ตามปกติแล้ว

          บาร์ซ่า มีผลงานในบ้านที่ยอดเยี่ยม ชนะ 14 นัดหลังสุดในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (ยิง 44 ประตู เสีย 6 ประตู) มีเพียง บาเยิร์น มิวนิค ที่มีสถิติดีกว่า ชนะ 16 เกมซ้อนในบ้านในการเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก

          อูไน เอเมรี่ เทรนเนอร์ชาวสเปนวัย 45 ปีของเปแอสเช นำทีมไม่แพ้ 17 เกมซ้อน ทั้งนี้สถิติดังกล่าวรวมผลกระชับมิตรที่บุกไปต้อน คลับ แอฟริกัน สโมสรชั้นนำของตูนิเซีย 3-0 ที่สต๊าด โอลิมปิก เดอ ราเดส เมืองตูนิส ประเทศตูนิเซีย เมื่อคืนวันพุธที่ 4 มกราคม ซึ่ง ปารีสฯ คว้าโทรฟี่แชมป์ โอเรดู ประจำปี 2017 ไปครอง

          ผลงานล่าสุด ทีมเปิดบ้านเชือด น็องซี่ 1-0 ในลีก เอิง นัดที่ 28 เมื่อวันเสาร์ที่ 4 มีนาคม โดย ปารีสฯ รั้งรองจ่าฝูงลีก เอิง มี 62 คะแนน จากการลงสนาม 28 นัด ตามหลัง อาแอส โมนาโก จ่าฝูง 3 คะแนน

          ทีมได้ ติอาโก้ ม็อตต้า มิดฟิลด์อิตาลีพ้นโทษแบน 1 นัด ในแชมเปี้ยนส์ ลีก กลับมา พร้อมกับที่เขาหายเจ็บน่อง กลับมาฝึกซ้อมได้ตามปกติ

          และสตาร์หลายคนที่ได้พักในนัดล่าสุดด้วยการเป็นตัวสำรองจะกลับมาลงตัวจริง ตามเดิมทั้ง ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ มิดฟิลด์ตัวรุกทีมชาติเยอรมัน, แบลส มาตุยดี้ กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส, โธมัส เมอนิเย่ร์ แบ็กขวาทีมชาติเบลเยียม

          ขณะที่ มาร์กินโญส เซนเตอร์แบ็กบราซิลกับ อาเดรียง ราบิโอต์ กองกลาง ที่ไม่มีชื่อในนัดปราบ น็องซี่ จะกลับมาลงสนามเช่นเดียวกับ อังเคล ดิ มาเรีย ที่หายเจ็บ

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

          บาร์เซโลน่า : มาร์ค-อันเดร แทร์ ชเตเก้น - เคราร์ด ปีเก้, ซามูแอล อูมติตี้, จอร์ดี้ อัลบา  - อีวาน ราคิติช, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อันเดรส อิเนียสต้า (กัปตันทีม) - ลิโอเนล เมสซี่ - ราฟินญ่า, หลุยส์ ซัวเรซ, เนย์มาร์

          ปารีส แซงต์-แชร์กแมง : เควิน ทรัพพ์ - โธมัส เมอนิเย่ร์, มาร์กินโญส, ติอาโก้ ซิลวา (กัปตันทีม), เลย์แว็ง คูร์กซาว่า - มาร์โก แวร์รัตติ, อาเดรียง ราบิโอต์, แบลส มาตุยดี้ - อังเคล ดิ มาเรีย, เอดินสัน คาวานี่, ยูเลี่ยน ดรัซ์เลอร์

ผู้ตัดสิน : เดนิซ อายเตกิ้น (เยอรมัน)

ข้อมูลน่าสนใจก่อนเกม

          - ไม่มีทีมไหนที่แพ้ในนัดแรก นอกบ้าน 0-4 รอบน็อกเอาต์ ชปล. แล้วผ่านเข้ารอบได้ (เกิดขึ้น 5 ครั้งในช่วงที่ผ่านมา)

          - มีเพียงครั้งเดียวที่เปแอสเชเขี่ยบาร์ซ่าตกรอบชปล. จากรอบก่อนรองชนะเลิศ 1994-95 (ประตูรวม 3-2) นับตั้งแต่นั้น บาร์ซ่าชนะรวด 2 ครั้งที่เจอกันในรอบน็อกเอาต์ (2012-13, 2014-15)

          - ความพ่ายแพ้ 0-4 ของบาร์ซ่าในเกมแรก เป็นการทาบผลงานแพ้มากที่สุดในถ้วยยุโรปของพวกเขา จากรอบรองฯ นัดแรก ฤดูกาล 2012-13 ต่อบาเยิร์น มิวนิค ก่อนพวกเขากลับมาแพ้ 0-3 ในบ้านตัวเอง

          - บาร์ซ่าผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ตลอด 9 ฤดูกาลหลัง เป็นผลงานดีที่สุดในรายการนี้ โดยหนล่าสุดที่พลาดเข้ารอบ 8 ทีม เกิดขึ้นฤดูกาล 2006-07 ที่พบลิเวอร์พูล

          - เปแอสเชผ่านรอบ 16 ทีมได้ตลอด 4 ครั้งก่อนหน้านี้ แต่โดนเขี่ยตกรอบก่อนรองชนะเลิศทั้งหมด

          - บาร์เซโลน่าชนะรวด 14 เกมชปล.หลังสุดที่คัมป์ นู (ได้ 44, เสีย 6) ซึ่งเกิดขึ้นในยุคของ หลุยส์ เอ็นรีเก้ ทั้งหมด

          - มีเพียงบาเยิร์น มิวนิค ที่ชนะในบ้าน ชปล. ติดต่อกันมากกว่าบาร์ซ่า (16 นัดนับถึงปัจจุบัน)

          - เปแอสเชไม่ชนะใน 4 เกมชปล.ที่เยือนบาร์ซ่าก่อนหน้านี้ (เสมอ 2 แพ้ 2) แต่ไม่เคยเสียเกิน 3 ประตูในช่วงดังกล่าว

          - เอดินสัน คาวานี่ ทำ 7 ประตูในชปล. ฤูดูกาลนี้ เป็นสถิติดีที่สุดของตัวเองในรายการนี้

          - ลิโอเนล เมสซี่, เนย์มาร์ และ หลุยส์ ซัวเรซ เล่นครบ 90 นาทีในเกมแรกที่พบเปแอสเช แต่ไม่มีรายไหนยิงเข้ากรอบแม้แต่ครั้งเดียว

          - เนย์มาร์ทำ 5 ประตูจาก 5 เกมที่พบเปแอสเช เป็นผลงานดีที่สุดของเขาในชปล. นอกจากนั้น เขายังเป็นผู้เล่นที่สร้างโอกาสทำประตูมากที่สุด ในชปล. ฤดูกาลนี้ด้วยจำนวน 7 แอสซิสต์

          - ทีมของ อูไน เอเมรี่ ผ่านเข้ารอบตลอด 12 ครั้งที่เล่นรอบน็อกเอาต์แบบเหย้า-เยือนในถ้วยยุโรป โดยทั้งหมดเป็นการคุมเซบีย่า