"บอ.บู๋" คอลัมนิสต์ดังสายพันธุ์ปีศาจแดง เขียนแสดงทรรศนะจัดหนักหน้าเพจส่วนตัว ถึงเกม ยูโรปา ลีก รอบตัดเชือก นัดสอง ที่กว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะผ่านเข้ารอบได้ ทำเอาใจหายใจคว่ำ เมื่อโดนตีเสมอ 1-1 แถมหวิดช็อกนาทีท้ายอีก ยังดีที่มีสกอร์ตุนจากนัดแรก ส่งผลให้คว้าตั๋วเข้าไปชิงดำกับ อาแจ็กซ์ 24 พ.ค. นี้ด้วยประตูรวม 2-1

เกือบ "เด๊ดห่า" นะครับสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด กว่าจะได้เข้าชิงฯ ยูโรปา ลีก เล่นเอาใจหายใจคว่ำทั้งเด็กผีและเด็กหงส์ แถมยังต้องมาปราศจาก เอริก ไบยี่ ในนัดชิงฯ อีกต่างหาก

1. โชเซ่ มูรินโญ่ ปอดแหกมากเกินไป ทั้งที่ศักยภาพผู้เล่นสูงกว่า - เล่นในบ้าน แถมเกมแรกก็เล่นเหนือกว่าชัดเจน ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรนักหนา ในเมื่อเหนือกว่าทุกกระบวนท่า แถมผู้เล่นสำคัญหลายคนก็ได้พักมาในเกมล่าสุด แต่กลับวางแผนให้ลูกทีมเล่นแบบรอโดนซะงั้น แล้วก็โดนจริงๆ ยังดีที่เอาตัวรอดจากการ "คาบ้าน" ได้สำเร็จ

2. เซลต้า ปีโป้ เล่นเกมเร็วเข้าใส่ตั้งแต่แรกแบบไม่มีอะไรจะเสีย บีบพื้นที่เข้าหาอย่างรวดเร็ว และกดดันจนผู้เล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ครองบอลไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงสิบนาทีแรก แต่พลพรรคปีศาจแดงชิงจังหวะขึ้นนำก่อนอย่างรวดเร็ว

ทว่าการขึ้นนำเร็วกลับทำให้พวกเขาหันมาเล่นเกมรับมากกว่าเดิม ด้วยการถอยไปตั้งรับลึก และไม่ค่อยเติมขึ้นสูง เช่นเดียวกับหาจังหวะสวนไปทำประตูไม่ค่อยได้

3. เกมรุกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแนวรุก 3 ตัวบน บวกกับ มารูยาน เฟลไลนี่ ที่คอยหาจังหวะขึ้นไปเติมเหมือนจังหวะที่ทำประตูได้นั่นแหละ แต่เหมือนจะมีเพียง มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่พอคุกคามคู่แข่งได้คนเดียว ขณะที่ เฮนริค มคิทาร์ยาน กับ เจสซี่ ลินการ์ด แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย!

4. แมนฯ ยูไนเต็ด พยายามเน้นเกมรัดกุมและแน่นอนแบบปลอดภัยไว้ก่อนมากเกินไป จังหวะที่เติมได้ก็ไม่กล้าเติมกัน เข้าใจว่าน่าจะเป็นคำสั่งจากผู้จัดการทีม เกมรุกเลยบอดสนิท นอกจากจังหวะได้ประตูก็แทบไม่มีโอกาสยิงแบบเหน่งๆ สักเท่าไหร่

จังหวะหนึ่ง อันเดร์ เอร์เรร่า พาขึ้นมาสูงถึงหน้ากรอบเขตโทษคู่แข่ง พอจ่ายบอลออกไปแล้วก็รีบวิ่งกลับลงไปตรงหน้าแผงหลังเหมือนกลัวถูกด่า

เช่นเดียวกับ อันโตนิโอ วาเลนเซีย ที่เวลาเติมขึ้นมาทางริมเส้น แล้วข้างหน้ามีพื้นที่ว่างมากมาย แทนที่จะกระชากหนีคู่แข่ง กลับดึงเกมช้าแล้วจ่ายเข้ากลาง หรือคืนหลังซะอย่างนั้น

พูดง่ายๆ ว่าไม่พยายามเล่น ถ้ามันเสี่ยงกับการเสียบอล

5. ดูเหมือน "มูมู่"จะมั่นใจในเกมรับของทีมตัวเองแบบเต็มประดา และยึดมั่นในวิธีการเล่นแบบเน้นผลของตัวเองมากเกินไปจนอาจลืมไปว่าลูกทีมของมึงนี่ค่าตัวแพงๆ ทั้งนั้นเลยนะ ยกตัวอย่าง ปอล ป๊อกบา ที่ถือว่าระดับโลก แต่ดันเล่นแบบกลัวคู่แข่งประเภท "มึงเป็นใครวะ?" ซะอย่างนั้น

สิ่งที่ท่านผู้ชมทางบ้านเห็นจาก แมนฯ ยูไนเต็ด คือการเล่นแบบ "รอโดน" ขณะที่ทีมเยือนมาแบบไม่มีอะไรจะเสีย แม้จะโดนนำไปก่อน แต่อย่างไรพวกเขาก็ต้องการ 2 ประตู เพื่อเข้าชิงฯ อยู่ดีนั่นแหละ หากโดนตีเสมอเมื่อไหร่ มันจะเต้นทันที แถมยิ่งรับก็ยิ่งเครียด พอๆ กับยิ่งกดดัน

ขอบอกว่าไอ้ความเครียดและกดดันนี่แหละทำให้ เอริก ไบยี่ สติแตก คุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่จน โดนไล่ออก หลังถูกตีเสมอ เสียกำลังสำคัญในนัดชิงฯ ไปอีกอย่างน่าเสียดาย

โชคดีที่คู่แข่งของ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นแค่ เซลต้า ปีโป้ ทีนี้ลองคิดดูว่าถ้าไปเจอแกร่งกว่านี้ เกมรุกจัดกว่านี้ใน ชปล. มันจะขนาดไหน

โชเซ่ มูรินโญ่ พา แมนฯ ยูไนเต็ด เข้าชิงชนะเลิศ ยูโรปา ลีก ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก็จริงแต่ขอบอกว่าไอ้ที่ต้องมากระเสือก-ดิ้นรนจนกองเชียร์และกองแช่งแทบหัวใจวายกันซะขนาดนี้ ก็เพราะความปอดแหกมากเกินไปของ โชเซ่ มูรินโญ่ เช่นกัน