พิสูจน์ได้ว่าตัวเองกลายเป็นตัวหลักของสโมสรลงสนามอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนในจังหวะเกมรุกเกือบทุกจังหวะ ในระบบ 3-4-3 ที่โค้ช ชูเฮ โยโมดะ เลือกใช้ตัวรุกต่างชาติ 3 คน คือ โจนาธาน เฮส, เจ โบธรอยด์ และ ชนาธิป สรงกระสินธ์

เกิดอะไรขึ้นกับฟอร์มของ เมสซี่เจ บ้าง ในเกมที่เปิดบ้าน ทำได้แค่เจ๊ากับ อัลบิเรกซ์ นิงาตะ ทีมอันดับสุดท้ายของตาราง...

1.มีส่วนมากในจังหวะโต้กลับ

ในจังหวะโต้กลับ เนื่องจาก โค้ช ชูเฮ ให้เจเล่นในตำแหน่ง ริมเส้น ซึ่งเวลาโต้กลับ ต้องอาศัย ความเร็ว และ ความคล่องตัว ของเขาในการพาบอล กินแดน ก่อนที่จะรอให้เพื่อนที่เติมขี้นมาเปิด หรือเลี้ยงตัด

 2. ครองบอลเปิดพื้นที่ให้เพื่อน

แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้ดี ทั้งจังหวะพาบอลกินตัว หรือจังหวะจ่ายบอลสั้นกับเพื่อนเพื่อรักษาเกม ยังดูเนียนตามากขึ้น อีกทั้งการที่คู่แข่ง ไม่แข็งแกร่งมากนัก จึงทำให้เกมนี้ เจ มีบทบาทพอสมควร

 3. สไตล์บอลโยนทำเล่นลำบาก

รูปเกม ของ ซัปโปโร่ เหมือนเดิม คือเน้นการโยนยาว ไปที่กองหน้ารูปร่างสูง อย่าง เจ โบธรอย ทำให้เจ เองก็ต้องเปลี่ยนการเล่น เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง คือได้บอลแล้วฝากให้มิดฟิลด์ ที่ตามมาด้านหลังคอยเปิดบอลยาวไปด้านหน้า

  4. ด้วยบทบาท อาจไม่ได้ช่วยรับมากนัก

 การเสีย 2 ประตูในช่วงท้ายเกม อาจจะเกิดจากแทคติกของโค้ช ที่พยายามเซฟสกอร์มากเกินไป จน อัลบิเรกซ์ นิงาตะ มีโอกาสครองบอล และเปิดเกมรุกเข้าใส่เยอะ จนกระทั่งเสีย 2 ประตู ก่อนหมดเวลาไม่นาน ซึ่ง ชนาธิป เอง ก็ไม่ได้มีส่วนช่วยเกมรับมากนัก เพราะถูกวางบทบาทเป็นตัวเก็บบอลในจังหวะโต้กลับ

5. ยังไม่เห็นความเห็นแก่ตัวของเจ

ในฟุตบอล บางจังหวะต้องเกรี้ยวกราด ต้องมีการสร้างสรรค์เกม หรือการทำให้ทีมได้เปรียบ ไม่ว่าจะเลี้ยง หรือยิงเอง ซึ่งในเกมนี้ เจ มีโอกาสในการลุ้นประตูน้อยมาก ทั้งๆที่ทีมนำ 2-0 โดย จุดที่ทำให้ชนาธิป ยังไม่กล้าโชว์ของ ออกมามากนัก ก็ด้วยแทกติกของโค้ชที่ทำให้เขา ยังเกรงใจเพื่อนร่วมทีมในบางจังหวะสำคัญที่เขาน่าจะทำได้

แฟนบอลไทย รอต่อไปว่าชนาธิป จะมีโอกาสยิงประตูแรกเมื่อไหร่ และคอนซาโดเล่ ซัปโปโร่ จะลุ้นหนีตกชั้นสำเร็จหรือไม่ ร่วมส่งแรงใจช่วย ผู้เล่นจากไทยให้ทำประตูได้กัน...