ลิเวอร์พูล ไม่ชนะใครมา 4 เกมรวด ทุกรายการ อย่างไรก็ตาม พวกเขาปลดล็อคได้สำเร็จ ด้วยการเฉือนเลสเตอร์ แบบสนุก 3-2 ในเกมที่เต็มไปด้วยดราม่า ซึ่งนี่ คือ 5 ประเด็นที่ ถูกพูดถึงกันหลังจบเกมนี้

1) คูตินโญ่ คืนชีพ

     คูตินโญ่ คือหัวใจสำคัญของลิเวอร์พูลในซีซั่นที่แล้ว และเขาก็แสดงออกอีกครั้ง ว่ายังสำคัญกับทีมแค่ไหน 1 แอสซิสต์ และ 1 ฟรีคิก ทำให้หงส์ทะยานนำ 2-0 ในช่วงครึ่งทางของครึ่งแรก

  คูตินโญ่ มีปัญหาสภาพจิตใจอย่างหนัก ตอนช่วงตลาดนักเตะ และพอกลับมาก็ร่างกายไม่สมบูรณ์นัก แต่ตอนนี้ ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว เขากลับมามีสมาธิกับเกม และร่างกายก็ดูเต็มร้อย น่าสนใจว่าในเกมหน้า ที่ซาดิโอ มาเน่ พ้นโทษแบนแล้ว หงส์แดง จะจัดทัพ 11 ตัวจริงอย่างไร ที่มีคูตี้รวมด้วย

2) มิโญเล่ต์ ราชาจุดโทษ ยาจกเวลาปกติ

      ซิมง มิโญเล่ต์ ไว้ใจได้เสมอ ยามเมื่อต้องดวลจุดโทษกับคู่แข่ง สถิติเผยว่า จุดโทษทั้งหมด 21 ครั้ง ที่เขาโดน กลับเซฟประตูได้ถึง 8 ครั้ง คิดเป็น 38% ซึ่งนับว่าสูงมากๆ  นอกจากนั้น ยังดูรู้ว่า มิโญเล่ต์ ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เหมือนคาดเดาได้ว่า เจมี่ วาร์ดี้ จะยิงมาตรงกลางประตู จากสถิติการยิงครั้งที่ผ่านๆมา

      อย่างไรก็ตาม ในเวลาปกติ ถ้าไม่นับจังหวะจุดโทษ ต้องบอกว่าเขายังไม่นิ่ง ยังมีช็อตทะเล่อทะล่าให้เห็น ทั้งชกบอลพลาด จนเสียลูกแรก รวมถึง ออกมาหวดวาร์ดี้ จนเสียจุดโทษ ในภาพรวมมิโญเล่ต์มีทีเด็ด แต่จะดีกว่า ถ้าเขาเล่นชัวร์ๆ ในเกมปกติด้วย

3) แผงหลังหงส์ยังเป็นปัญหา

       เป็นอีกครั้งที่ลิเวอร์พูล เสียประตูจากลูกเตะมุม เหมือนว่า พวกเขาไม่เรียนรู้อะไรเลย มีคำเปรียบเปรยเล่นๆของแฟนว่า สำหรับหงส์ เตะมุม น่ากลัวกว่าลูกโทษ อาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้

      นักเตะแต่ละคน ในแนวรับ เสียสมาธิ และมีช็อตผิดพลาดกันเยอะเกินไป ตัวอย่างเช่น มาติป เสียฟรีคิกแบบไม่จำเป็นให้วาร์ดี้ ช่วงทดเจ็บครึ่งแรก จนนำมาสู่การเสียประตูตีไข่แตก  ลอฟเรน เช็กล้ำหน้าพลาดจนวาร์ดี้หลุดเดี่ยว หรือโมเรโน่ เตะบอลไปเข้าเท้าคู่แข่ง อะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ นำมาซึ่งการเสียประตู

      แน่นอน คล็อปป์ ยังต้องขันน็อตกันต่อ และต้องจูนหาแนวรับที่ดีที่สุดของทีมต่อไปอีก

4) คล็อปป์เปลี่ยนตัวได้ดีมาก

      การเปลี่ยนผู้เล่นของเจอร์เก้น คล็อปป์ในเกมนี้ ถือว่าทำได้เข้าตากว่าทุกทีทีเดียว เริ่มจากถอดเอาโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ออก แล้วส่งแดเนียล สเตอร์ริดจ์ลงมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งต่อตำแหน่ง ไม่ได้เปลี่ยนแผนการเล่น เพราะทรงของหงส์ยังดูดีอยู่

    สเตอร์ริดจ์ก็มีส่วนแอสซิสต์ประตูที่ 3 และยังได้โอกาสจบสกอร์หลายครั้ง  จากนั้น คล็อปป์ส่งมิลเนอร์ ที่เล่นเกมรับได้ดี ลงมาแทนเอ็มเร่ ชาน ที่เริ่มเสียสมาธิแล้ว มีไปทำแฮนด์บอลในเขตโทษ จนเกือบโดนจุดโทษ

     ก่อนปิดท้ายด้วยส่งแชมเบอร์เลน มาแทน คูตินโญ่ที่อ่อนล้า ในสิบนาทีท้าย เรียกได้ว่า เปลี่ยนตัวได้ดี และสำรองแต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้โอเค

5) หงส์แสดงคาแร็กเตอร์ผู้ชนะ

      ทีมที่จะได้แชมป์ สิ่งหนึ่งที่ต้องทำให้ได้ คือเอาชนะ ในยามที่ทีมเล่นไม่ดี ในคู่วันเสาร์ สเปอร์ส แสดงให้เห็นว่า เขาเหลือสิบคน แถมโดนไล่จี้มา 3-2 แต่ก็ยังนิ่งพอ ที่จะเอาชนะได้ หรือแมนฯยูไนเต็ด โดนเซาธ์แฮมป์ตัน พับสนามบุกครึ่งหลัง แต่ก็ยังเฉือนเอาชนะได้ 1-0  ดังนั้นเกมนี้ ลิเวอร์พูลตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก และจ่อโดนตีเสมอหลายรอบ แต่การที่พวกเขารอดมาได้แบบนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ยังมีออร่า ของผู้ชนะ และยังแอบลุ้นแชมป์ได้อยู่เหมือนกัน