ถึงตอนนี้ทีมชาติไทย กำลังเตรียมตัวที่จะเข้าสู่การป้องกันแชมป์ คิงส์ คัพ ครั้งที่ 46 หลังจากก่อนหน้านี้เป็นแชมป์มา 15 สมัย ประกอบด้วย 2519, 2522, 2523, 2524, 2525, 2527, 2532, 2533, 2535, 2537, 2543, 2549, 2550, 2559 และ 2560

แน่นอนว่า 4 ผู้เล่นที่ค้าแข้งในต่างแดน เดินทางกลับมาสมทบทีมกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ชนาธิป สรงกระสินธ์ (คอนซาโดเล่ ซัปโปโร), ธีรศิลป์ แดงดา (ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า), ธีราทร บุญมาทัน (วิสเซล โกเบ) และ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (โอเอช ลูเวิน)
   
แต่มีอยู่ 1 รายชื่อ ที่ทะแม่งๆ ชอบกล ไม่รู้ว่า มิโลวาน ราเยวัช กุนซือใหญ่ของทีมชาติไทย เอาสมองส่วนไหนของเขาคิด ก็คือ อดิศร พรหมรักษ์ เซนเตอร์ฮาล์ฟจาก เอสซีจี เมืองทอง ซึ่งพักหลังๆในนามทัพ "ช้างศึก" มักจะทำได้ดีกับวิงแบ็กขวา หรือมาเป็นกองหลัง 3 คนก็ไม่เคอะเขิน
   
เรียกได้ว่าทุกคนต่างชมในตำแหน่งที่เกิดขึ้น หรืออาจจะเป็นสิ่งที่ ''ลุงมิโล่'' ทำให้เห็นแล้วว่า เขาสามารถขยับหรือปรับนักเตะไปเล่นได้หลายตำแหน่ง เหมือนคิงส์ คัพ ปีก่อน ที่ก่อนที่ให้ ธีราทร บุญมาทัน ไปรับบททั้งปีกซ้าย เลยเถิดไปถึง เพลย์เมกเกอร์ ก็มาแล้ว
   
ทว่าในเรื่องของ "เจ้าเก่ง" อดิศร พรหมรักษ์ นั้น เขายังเจ็บอยู่แล้วก็ไม่ได้ลงเล่นให้กับ เอสซีจี เมืองทอง มาหลายนัด แต่กลับมีชื่อติดเข้าไปอยู่ในสารบบของการป้องกันแชมป์โทรฟี่ที่มีความหมายเบอร์ 1 ของสยามประเทศนี่ละสิ
   
จะบอกว่า มิโลวาน ราเยวัช ไม่ได้มาดูที่สนามเอสซีจี สเตเดี้ยม ก็คงไม่ใช่ เพราะว่าตาลุงคนนี้มาออกจะบ่อย เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่า การที่นักเตะไม่ได้ลงสนามมาเป็นเวลานาน เพราะว่ามีอาการบาดเจ็บติดตัวอยู่นั้น ร่างกายของคนมันจะไปฟิตเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ได้เช่นไร
   
ขนาดตอนให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ ก็แสดงความมั่นใจว่า "เจ้าเก่ง" จะหายจากอาการบาดเจ็บ กับมาฟิตปั๋ง!! สุดท้ายเป็นไงล่ะ 2 เกมของไทยลีก นัดที่ 5-6 ไร้เงาของเซนเตอรฮาล์ฟที่จบมาจากสวนกุหลาบรายนี้ลงเล่นให้กับ "กิเลนผยอง"
   
นี่คือสิ่งที่ผมไม่รู้ว่าแฟนบอลได้มองข้ามไปหรือไม่ แต่ถามว่าถ้าเป็นโค้ชระดับนี้จะมาเอาใจนักเตะไปทำไม คุณไปดูเกมถึงสนามและมีโอกาสพูดคุยกับผู้เล่นทุกๆ สัปดาห์ ทว่ากลับทำสิ่งที่เหลือเชื่อในการบรรจุชื่อคนที่ยังมีอาการบาดเจ็บไว้ในทีม
   
"บ้องตื้น"!!! ผมขอให้คำนี้กับชายวัย 60 กว่าๆ ที่แม้จะเคยพากานา เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้
   
สิ่งเหล่านี้เมื่อมองย้อนกลับไป ถ้าหากเกิดขึ้นในยุคของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง รับรองได้เลยว่ามีแต่เสียงระงมหลุดออกมาจากกองเชียร์ ว่าทำไมต้องมี "ลูกรัก" หนีบไปไหนมาไหนกับทีมอยู่ทุกย่อมหญ้า และในทุกๆ รายการที่เขาคุมทีม
   
ทว่าไม่น่าเชื่อว่ากลับไม่เกิดขึ้นกับการประกาศเรียกตัวมาป่องกันแชมป์ คิงส์ คัพ ครั้งที่ 46 ของ มิโลวาน ราเยวัช หลังจากเอาตัวเจ็บอย่าง อดิศร พรหมรักษ์ เข้ามาสู่ในทีม กลับไม่มีเสียงค่อนขอดออกมาจากแฟนบอลเหมือนในยุคที่ "ซิโก้" ยังคุมทีม
   
เชื่อได้เลยว่าสิ่งที่ "ลุงมิโล่" ทำนั้น น่าจะมีเหตุผลในตัวเอง อาจจะเป็นเพราะว่าเขาได้คุยกับนักเตะ เพียงแต่ตัวเองก็ไปดู เอสซีจี เมืองทอง บ่อยครั้ง แล้วทำไมถึงไม่ดูเลยว่าผู้เล่นได้รับอาการบาดเจ็บจนไม่น่าจะไหวเช่นนี้
   
แถมสื่อหลายคนยังออกอาการงงว่า จะเอาแบ็กซ้ายไปทำไม 3 คน ไม่ว่าจะเป็น เควิน ดีรมรัมย์, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา และ ธีราทร บุญมาทัน ส่วนทางขวามีแค่ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม
   
กระทั่งก่อนหน้าเรียกรายงานตัว 1 วัน หรือในวันอาทิตย์ที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ประกาศเรียกตัว นิติพงษ์ เสลานนท์ แบ็กขวาจาก การท่าเรือ เอฟซี และ มิก้า ชูนวลศรี แนวรับจาก ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เข้ามาแทน อดิศร พรหมรักษ์ และ มานูเอล ทอม บีร์ ที่ถอนตัว
   
การถอนตัวออกไปของ มานูเอล ทอม บีร์ มันไม่มีใครว่าหรอก เพราะว่าเขาเจ็บจากเกม แต่ในรายของ อดิศร พรหมรักษ์ เนี่ยแหละ...หมอนี่เจ็บมานานนม มิโลวาน ราเยวัช ยังจะเป็นคนแก่โง่งมใส่ชื่อไว้จนกระทั่งไทยลีก 2018 ผ่านพ้นไป เห้อ!!!!
   
มิน่าล่ะจึงมีข่าวอยู่เนืองๆ ว่า ถ้าสัญญาของตาลุงนี่หมดลง คงจะไม่ได้รับการต่อสัญญาฉบับใหม่จากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพราะผู้เขียนดูแล้ว "โค้ชแบน" ธชตวัน ศรีปาน มีความเหมาะสมมากกว่าการเล่นเกมแบบเน้นรับเหมือนทีมชาติไทยในปัจจุบัน
   
หรือว่าบางทีผลงานของ มิโลวาน ราเยวัช อาจจะไม่ต้องเห็นผลได้ชัดกับ เอเชียน คัพ 2019 รอบสุดท้าย เพราะเพียงแค่ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 น่าจะรู้แล้วว่า แนวทางการเล่นของทีมชาติไทย มันจะออกมาเหนือกว่าชาติในอาเซียนหรือไม่?
   
พูดได้จากใจของผู้เขียนเลยว่า "ละเหี่ยใจจริงๆ" กับการเลือกตัวของกุนซือที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพิ่งทำการต่อสัญญาออกไปอีก 2 ปี!!!