ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ประจำฤดูกาล 2017/18 ใกล้จะปิดฉากลงแล้วในค่ำคืนวันเสาร์นี้ ถ้วยจะตกอยู่ในมือของใครระหว่างเรอัล มาดริด หรือ ลิเวอร์พูล แต่ก่อนจะถึงนัดชิงฯ เราจะพาแฟนๆไปย้อนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ จะมีอะไรบ้างไปดูกันได้เลย

สเปอร์ส ชนะเรอัล มาดริดได้เป็นครั้งแรก

จากเกมที่ไก่เดือยทอง เอาชนะเรอัล มาดริด ที่เวมบลี่ย์ นับเป็นชัยชนะนัดแรกที่พวกเขายัดเยียดความปราชัยให้แก่ราชันชุดขาวจากการพบกัน 6 นัด นอกจากนี้ชัยชนะดังกล่าวนับเป็นการสร้างชื่อให้ทุกสายตาจดจ้องไปที่ทีมๆนี้

    อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ง่ายจะลืมเพราะในบั้นปลายมาดริด สามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ขณะที่สเปอร์ส ตกรอบ16 ทีมสุดท้ายต่อยูเวนตุส

    ติโม แวร์เนอร์ ในเกมกับเบซิคตัส

    ผู้เล่นส่วนใหญ่ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ช่วงครึ่งชั่วโมงแรก เนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บ แต่สำหรับติโม แวร์เนอร์แล้ว มันไม่ใช่เหตุผลนั้นแต่อย่างใด

     การแข่งที่สนามโวด้า โฟน อารีน่า ของเบซิคตัส ปรากฎว่า แวร์เนอร์ ถูกเปลี่ยนตัวออกอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความมึนงง ของทุกฝ่าย เพราะดูเจ้าตัวก็ไม่มีอาการบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่ล่าสุด มีการจับภาพได้ว่า เขาเอามืออุดหูระหว่างลงเล่น จากนั้น ก็มาขอที่อุดหูข้างสนาม แต่ก็ไม่ช่วยอะไร จนต้องเปลี่ยนตัวออกในที่สุด

    โดยรายงานเผยว่า แวร์เนอร์ ทนไม่ไหว กับการเชียร์ที่ดังเกินไป ในสนามของเบซิคตัส  และ มันทำให้เขามีปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือดด้วย

    การไม่มี แวร์เนอร์ ส่งผลโดยตรงต่อไลป์ซิก ทำให้สุดท้าย เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในนัดนั้น ด้วยสกอร์ 0-2

    โมนาโก จมบ๊วยกลุ่มจี

    หนึ่งฤดูกาลก่อนหน้านี้ โมกาโก คือทีมที่ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ รายการนี้ แต่ในปีนี้ทีมดังจากลีกเอิงกลับจบที่อันดับสุดท้ายของกลุ่มจี ทั้งที่เพื่อนร่วมทีมอื่นๆในกลุ่มก็ไม่ใช้ทีมที่ดูเหนือกว่าพวกเขาสักเท่าไหร่ (เบซิคตัส, ปอร์โต้, ไลป์ซิก)

    การพ่ายแพ้คาบ้านแบบยับเยินต่อไลป์ซิกและปอร์โต้ คือเรื่องที่ไม่น่าจดใจของโมนาโก สักเท่าไหร่

    หน้ากากซอร์โร่

    เปาโล ฟอนเซก้า นายใหญ่ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค สวมหน้ากากโซโรออกมาแถลงข่าว หลังนำทีมทะลุรอบน็อคเอาต์ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จากการทุบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

    กุนซือวัย 44 ปี เคยให้คำมั่นสัญญาว่า ถ้าทีมทะลุรอบ 16 ทีมสุดท้ายในถ้วย "ยูซีแอล" หลังจบเกมเจอ "เรือใบสีฟ้า" ก็จะสวมหน้ากากโซโร ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ชนะคู่แข่งได้จริงๆ พร้อมเข้ารอบน็อคเอ้าท์ในฐานะรองแชมป์กลุ่ม เอฟ

    บาเซิลล้มแมนเชสเตอร์

    น้อยทีมนักที่จะสามารถล้มทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ในปีเดียว แต่ถ้าบอกว่าทีมอย่าง บาเซิล ทำได้คงเป็นเรื่องที่แฟนบอลหลายคนจะเชื่อ

    แต่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นคือ ทีมดังจากสวิส กลับเอาชนะทั้ง ซิตี้ และ ยูไนเต็ดได้ โดยในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาเอาชนะปีศาจแดง 1-0 ในบ้านตัวเอง ก่อนที่ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย จะบุกไปล้มเรือใบสีฟ้า ถึงเอติฮัด สเตเดี้ยม 2-1 แต่ก็ตกรอบไปด้วยสกอร์รวม 2-5

    เด เคอา เซฟสุดสวย

    ความมหัศจรรย์ของเด เคอา มักเกิดขึ้นบ่อยๆในเกมที่แมนฯยูไนเต็ด ตกเป็นรองคู่แข่ง และในเกมที่ปีศาจแดง ออกไปเยือนเซบีย่า ในเลกแรกของรอบ16 ทีมสุดท้าย โอกาสที่จะได้ประตูของเจ้าถิ่นมีมากมายโดยเฉพาะ ลูกโหม่งของ หลุยส์ มูเรียล หน้าถูกนายด่านสแปนิช บินตัวปัดได้จนสามารถยื้อผลเสมอกลับออกมา

    แอนโทนี่ รัลสตัน vs เนย์มาร์

    ซลติก ตัดสินใจส่งดาวรุ่ง แอนโทนี่ รัลสตัน เป็นตัวจริงในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกนัดแรก กับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ทั้งๆที่ได้ลงในเกมทางการแค่ 4 นัดเท่านั้น แถมเจ้าตัวมีอายุแค่ 18 ปี โดยหน้าที่หลักคือ การประกบกับเนย์มาร์ จากนั้นดาวรุ่งคนนี้ก็เตะติดดาบใส่เนย์มาร์ ตลอดทั้งเกม

    จบครึ่งแรก รัลสตัน ก็ยังตามแซะ ตามวอแว เนย์มาร์อยู่ตลอด แต่ก็ยังไม่มีอะไรบานปลาย สกอร์ตอนนี้ เซลติกส์ 0-3 ปารีส

    เนย์มาร์เอาคืน ด้วยการด่ากลับและชู 3 นิ้ว เป็นการบอกว่า เฮ้ย นำอยู่ 3-0 นะตอนนี้

    หลังจบเกม ปารีส ชนะ 5-0 รัลสตัน เดินมาขอจับมือกันเนย์มาร์ แต่เนย์มาร์ไม่จับด้วย (บางสื่อเผยว่า รัลสตันต้องการจะขอแลกเสื้อด้วย) พร้อมด่าไล่หลัง ร้อนจน มาร์โก แวร์รัตติ ต้องมาแยกทั้งคู่ออกจากกัน

    จนสื่อในอังกฤษวิจารณ์เนย์มาร์อย่างรุนแรง ว่าไม่มีน้ำใจนักกีฬา เกมจบแล้วก็ควรจบ และก็น่าจะจับไม้จับมือกัน ตามมารยาท และเนย์มาร์ทำตัวเหมือนไม่เป็นมืออาชีพ แต่ก็มีคอมเมนต์ของแฟนบอล เผยว่า เมื่อคุณทำตัวไม่ดีใส่นักเตะคนอื่นก่อน จะคาดหวังให้เขาดีกับคุณได้อย่างไร

    ประตูที่100 ของเมสซี่

   
    เมสซี่ ทำสถิติเป็นผู้เล่นคนที่สองต่อจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่พังประตูในรายการนี้แตะหลัก 100 ประตู โดยสตาร์จากบาร์ซ่า ใช้เวลาเพียง 123 นัดเท่านั้น
    สถิติของโรนัลโด้

ในเกมกับ อาโปเอล นิโคเซีย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้บันทึกสถิติใหม่ของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นั่นคือการเป็นผู้เล่นตำแหน่งเอาท์ฟิลด์(ไม่รวมผู้รักษาประตู) ที่ลงสนามมากที่สุดในรายการนี้