ลิเวอร์พูล ต้องสูญเสียความบริสุทธิ์ของฤดูกาลไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยน้ำมือของ เชลซี คาถิ่นแอนฟิลด์ ร่วงตกรอบคาราบาว คัพ อย่างน่าเจ็บใจ ทั้งๆ ที่ได้ประตูนำไปก่อน แต่โดนทีเด็ดของ เอแด็น อาซาร์ ที่ลงมาเป็นตัวสำรองและแสดงให้เห็นว่านักเตะระดับเวิลด์คลาสฝีเท้าฉกาจฉกรรจ์มากแค่ไหน

ในความพ่ายแพ้ในแมตช์นี้ ถ้าจะมองในแง่บวกก็คือทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ และแข้ง "หงส์แดง" คลายความกดดันกับคำว่า "ไร้พ่าย" ไปได้ในระดับหนึ่ง รวมไปถึงการได้เห็นความสุดยอดของ อาซาร์ ทำให้ นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช มีเวลาที่จะขบคิดในการรับมือกับจอมทัพเลือดเบลเยียม สำหรับเกมลีกเยือนสแตมฟอร์ด บริดจ์ วันเสาร์ที่ 29 ก.ย.นี้

1. แพ้แมตช์แรกของฤดูกาล.....

หลังจากที่เก็บชัยชนะเรียบวุธ 7 แมตช์ติดต่อกันจากการแข่งขันทุกรายการในฤดูกาล 2018-19 ซึ่งเป็นสถิติใหม่หนแรกของสโมสร แต่ในที่สุดไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกลา และไม่มีทีมไหนที่จะอยู่ยงคงกระพันเพราะสุดท้ายแล้ว "หงส์แดง" ต้องสะกดคำว่าแพ้เป็นหนแรงของซีซั่นเรียบร้อย

ที่สำคัญนอกจากจะแพ้เกมแรกแล้ว ยังเป็นการแพ้คาถิ่นแอนฟิลด์ ครั้งแรกนับตั้งแต่ที่แพ้ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อวันที่ 27 มกราคมของปีนี้ด้วย และตอนนี้ยังต้องลุ้นว่าผลกระทบในแมตช์นี้จะส่งผลไปถึงเกมต่อไปที่ต้องเจอ เชลซี (อีกครั้ง) ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เกมลีกวันเสาร์นี้
 
2 เอแด็น อาซาร์ น่ากลัวทุกวินาที
ในครึ่งแรกฟอร์มการเล่นของ เชลซี กับ ลิเวอร์พูล เกมนี้ค่อนข้างจะออกแนวสูสีกันแต่ "สิงห์บลูส์" ครองเกมได้เหนือกว่านิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้สร้างจังหวะอันตรายมากนัก จนกระทั่งครึ่งหลังต้องยอมรับว่าเจ้าบ้านทำเกมได้เหนือกว่า แดนกลางเก็บบอลได้หมด แถมยังมีจังหวะเฟอะฟะของแนวรับคู่แข่ง แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้

จนกระทั่ง แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ส่งบอลไปซุกก้นตาข่าย ในเวลานั้น  เมาริซิโอ ซาร์รี่ รีบขยับแก้เกมทันที และการส่ง อาซาร์ ลงสนามทำให้แนวรุก เชลซี อันตรายขึ้นเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะในจังหวะที่ซัดประตูชัยช่วยท้ายเกม เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียม โชว์ทักษะระดับโลกในการกระชากลากเลื้อย และการยิงประตูที่แสนคมกริบ

ตอนนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ คงรู้เช่นเห็นชาติแล้วว่าขนาด อาซาร์ ลงเล่นเป็นตัวสำรองยังป่วนเกมของ ลิเวอร์พูล ขนาดนี้ และถ้าในแมตช์พบกันในเกมลีกเสาร์นี้ แน่นอนว่า อาซาร์ ต้องประจำการตัวจริง ฉะนั้น กุนซือชาวเยอรมัน มีการบ้านกองใหญ่ที่ต้องรีบจัดการแก้ไขเป็นการด่วน ไม่งั้นได้น้ำตาตกติดต่อกันสองแมตช์แหงๆ

3. สเตอร์ริดจ์กับประตูในแอนฟิลด์ 

 สเตอร์ริดจ์ ลงเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ไปแล้ว  3 เกมในฤดูกาลนี้ และยิงประตูได้ตลอด โดยประตูแรกมาจากตอนที่เขาลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมพบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แมตช์เปิดซีซั่นนี้ จากนั้นก็เป็นคนยิงเบิกร่องในแมตช์รับมือ ปารีส แซงต์-แชร์กแมล เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

แมตช์ล่าสุดจริงๆ แล้ว สเตอร์ริดจ์ โชว์ให้สัญชาตญาณนักล่าตาข่าย เมื่อเจ้าตัวมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็จหลัง วิลลี่ กาบาเยโร่ ปัดลูกยิงของ นาบี เกอิต้า ที่ลอยเข้าทางเขาพอดี และไม่มีการลังเลเมื่อ ดาวเตะชาวอังกฤษ กระโดดลอยตัวยิงช่วยให้ทีมขึ้นนำ

จะว่าไปแล้ว สเตอร์ริดจ์ น่าจะยิงประตูให้ทีมขึ้นนำไปตั้งแต่ต้นครึ่งหลังจากจังหวะส้มหล่นเมื่อ อันเดรียส คริสเตนเซ่น จ่ายบอลคืนหลังสั้นไปทำให้เจ้าตัววิ่งโฉบมาแย่งบอลก่อนโยกหลบ กาบาเยโร่ ทว่าจังหวะสุดท้ายดันยิงด้วยขวาข้างไม่ถนัดหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย

4. อัลแบร์โต้ โมเรโน่ พึ่งไม่ได้เหมือนเดิม 

สาวก "เดอะ ค็อป" แทบไม่ได้เห็น โมเรโน่ ในแมตช์นี้ด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรเลย (นอกจากยืนให้ครบ 11 คน) ที่สำคัญการต้องรับมือกับ วิคเตอร์ โมเสส นั้น แบ็กซ้ายสแปนิช ก็ไม่ได้ช่วยทีมมากนักทั้งๆ ที่คู่แข่งก็ไม่ได้แสดงผลงานที่น่ากลัวอะไรมากนัก แต่กลายเป็นว่า โมเรโน่ ก็ต้องเหนื่อยรากเลือดในการไล่ประกบเขา

นอกจากนี้ โมเรโน่ แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่ขาดความมั่นใจมากๆ ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่ต้องดวลกับนักเตะที่เต็มไปด้วยศักยภาพอย่าง อาซาร์ งานนี้ขอบอกเลยว่า แข้งเลือดกระทิงดุ ทำอะไรไม่ถูก และยังมาโดน เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียม เลี้ยงหลอกจนหัวทิ่มหัวตำก่อนจะกระชากเข้าไปทำประตูชัยอย่างงดงาม

5. ฟาบินโญ่ ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ ฟาบินโญ่ ที่ลงเล่นเป็นตัวจริงครั้งแรกภายใต้แรงกดดันมหาศาล โดย ดาวเตะชาวบราซิเลียน แทบจะไม่ได้โผล่ลงสนามให้กับ "หงส์แดง" นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัวมหาศาล โดย คล็อปป์ ให้เหตุผลว่านักเตะยังต้องการเวลาในการปรับตัว

อย่างไรก็ตาม ฟาบินโญ่ ทำผลงานได้น่าประทับใจในระดับหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นสัญญาณที่ดีก็คือ อดีตมิดฟิลด์โมนาโก กับ นาบี เกอิต้า สามารถเล่นเข้ากันได้ดีในแดนกลาง ฉะนั้นนี่อาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีในการตกรอบคาราบาว คัพ ของ "หงส์แดง"  และอาจมีลุ้นที่จะได้เล่นตัวจริงอย่างต่อเนื่องในอนาคต