ยังคงไม่ฟื้นสำหรับ เยอรมนี ดีกรีแชมป์โลก 4 สมัย หลังออกไปพ่าย ฝรั่งเศส ทีมแชมป์โลกครั้งล่าสุด 1-2 ในศึก ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก เอ กลุ่มหนึ่ง เมื่อวันอังคารที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน 1-0 ในครึ่งแรก จนทำเอาแฟนบอล "อินทรีเหล็ก" แอบหวังลึกๆ ที่จะเห็นทีมคว้าชัยชนะเพื่อเป็นจุดเปลี่ยน แต่สุดท้าย "ตราไก่" ก็สามารถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายคว้าชัยได้ พร้อมส่งทีมของกุนซือ โยอัคคิม เลิฟ รั้งบ๊วยของกลุ่ม ด้วยการมีแค่แต้มเดียว จากการลงเตะ 3 นัด จนมีแววสูงเหลือเกินที่จะตกชั้น

    11 ผู้เล่นตัวจริง

    - มานูเอล นอยเออร์ : 6
        ดูเหมือนว่าตอนนี้ไม่สามารถสร้างชอตเซฟแบบมหัศจรรย์ได้อีกแล้ว

    - มัทธีอัส กินเทอร์ : 6.5
        ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ก็ไม่ถือว่าแย่

    - นิคลาส ซือเล่ : 6
        ความเชื่องช้าคือจุดอ่อน แถมมีจังหวะนึงที่ถูก คีลิยัน เอ็มบัปเป้ วิ่งแซงแบบเห็นๆ จนเกือบเสียประตู

- มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ : 7
        จริงๆ แล้วถือว่าเล่นดีสุดในบรรดาแผงหลัง ส่วนจังหวะที่ทำเสียจุดโทษถือว่าโชคร้าย

    - ธีโล เคห์เรอร์ : 6.5
        ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป แต่ดูแล้วมีแววที่ดี

    - โยชัว คิมมิช : 6
        การเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางไม่น่าจะเป็นตำแหน่งที่ใช่สำหรับเจ้าตัว    

- โทนี่ โครส : 8
        ถือเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นสุดในเกมนี้ของ "อินทรีเหล็ก" นอกจากเป็นคนยิงจุดโทษให้ทีมขึ้นนำแล้ว ยังมีการเปิดบอลสวยๆ หลายครั้งด้วย

    - นิโก้ ชูลซ์ : 6
        ต้องพัฒนาฟอร์มขึ้นอีก หากต้องการมีพื้นที่ในทีมชาติ

    - ลีรอย ซาเน่ : 7
        มีความเร็วและสามารถป่วนแนวรับฝรั่งเศสได้ แต่จังหวะทีเด็ดทีขาดยังทำได้ไม่ดี

- แซร์ช นาบรี้ : 6
        ยังไม่ดีพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริง และไม่มีโอกาสได้งัดความเร็วมาเล่นงานคู่แข่ง    

    - ติโม แวร์เนอร์ : 6
        ยังคงน่าผิดหวังเหมือนเดิมกับการเล่นให้ทีมชาติ    

    สำรองที่ได้ลงเล่น

- ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ (แทน ซาเน่ น. 75) : 6
        ลงไปแทบไม่มีบทบาทอะไร

    - ยูเลียน บรันด์ท (แทน กินเทอร์ น. 83) : 6
        ไม่สามารถสร้างจุดเปลี่ยนได้

    - โธมัส มุลเลอร์ (แทน นาบรี้ น. 88) : -
        ไม่สามารถให้คะแนนได้

   *เกร็ดน่ารู้หลังเกม*

    - แย่สุดในประวัติศาตร์!!!

การปราชัยให้กับ ฝรั่งเศส เมื่อคืน ทำให้ เยอรมนี แพ้ไปแล้วถึง 6 ครั้งในปี 2018 ซึ่งถือเป็นปีที่พวกเขาพ่ายแพ้มากสุดในประวัติศาสตร์ หากนับตามปีปฏิทิน

        แพ้ บราซิล 0-1 (อุ่นเครื่อง)
        แพ้ ออสเตรีย 1-2 (อุ่นเครื่อง)
        แพ้ เม็กซิโก 0-1 (ฟุตบอลโลก 2018)
        แพ้ เกาหลีใต้ 0-2 (ฟุตบอลโลก 2018)
        แพ้ เนเธอร์แลนด์ 0-3 (เนชั่นส์ ลีก)
        แพ้ ฝรั่งเศส 1-2 (เนชั่นส์ ลีก)
       
    - ติดท็อปเทนแล้ว

สองประตูที่ทำใส่ เยอรมนี ส่งผลให้ตอนนี้ อองตวน กรีซมันน์ หัวหอกดาวดังจาก แอตเลติโก มาดริด ขึ้นมารั้งอันดับ 10 ดาวซัลโวสูงสุดในประวัติศาสตร์ทีมชาติฝรั่งเศสเรียบร้อย ด้วยจำนวน 26 ประตู เท่ากับ ซิลแว็ง วิลตอร์ อดีตกองหน้าดังของ อาร์เซน่อล