ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ยูฟ่า /ยูโรป้าลีก/ยูโรคัพ » ย้อนรอย ลิเวอร์พูล กับการเข้ารอบน็อกเอาต์บอลยุโรปด้วยการชนะนัดสุดท้าย

ย้อนรอย ลิเวอร์พูล กับการเข้ารอบน็อกเอาต์บอลยุโรปด้วยการชนะนัดสุดท้าย

Posted 11/12/2018 by siamsport

นับได้ว่าสถานการณ์การลุ้นเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของ ลิเวอร์พูล ลำบากพอประมาณ โดยตัวเลือกที่ง่ายที่สุดแบบที่ไม่ต้องลุ้นอีกคู่หนึ่งคือการเอาชนะให้ได้ 1-0 หรือไม่ก็ชนะด้วยผลต่าง 2 ประตูขึ้นไป ในนัดสุดท้าย วันอังคารที่ 11 ธันวาคมนี้

การที่พวกเขาจะได้เฝ้ารัง แอนฟิลด์ ทำให้มันดูเหมือนเป็นงานที่ไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่ปัญหาคือคู่แข่งของพวกเขาไม่ใช่ทีมโนเนม เพราะกำแพงที่ขวางทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ อยู่คือ นาโปลี ทีมดังจากอิตาลีที่ตอนนี้เป็นรองจ่าฝูงของ กัลโช่ เซเรีย อา และทีมจากอิตาลีก็ยังต้องการแต้มเพื่อผ่านเข้าสู่รอบต่อไปเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ลิเวอร์พูล ต้องมาลุ้นเข้ารอบน็อกเอาต์ของศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ในนัดสุดท้าย เพราะที่ผ่านมาพวกเขาก็เจอสถานการณ์แบบนี้หลายครั้ง และพวกเขาก็เคยพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถเอาตัวรอดในนัดสุดท้ายได้ โดยเกมเหล่านั้นได้แก่

vs สปาร์ตัก มอสโก ฤดูกาล 2017-18
แม้ว่าคู่แข่งจะไม่ใช่ทีมที่หนักหนาสาหัสอะไร แต่แน่นอนว่าการต้องมาลุ้นเข้ารอบในนัดสุดท้ายก็ถือว่ากดดันพอตัว และที่จริงพวกเขาก็ควรจะเข้ารอบตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว ถ้าไม่พลาดโดน เซบีย่า ตีเสมอเป็น 3-3 ในช่วงท้ายเกม แถมที่จริงเกมนั้น ลิเวอร์พูล ยังนำห่าง 3-0 ตั้งแต่ครึ่งแรกอีกต่างหาก

ทั้งนี้ เงื่อนไขในตอนนั้นของ ลิเวอร์พูล คือห้ามแพ้คู่แข่งจากแดนหมีขาวเท่านั้น ซึ่งสุดท้าย "หงส์แดง" ก็ทำภารกิจได้สำเร็จ หลังจากไล่ต้อน สปาร์ตัก ไปแบบขาดลอย 7-0 โดยที่ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เป็นพระเอกในเกมนั้น จากการทำแฮตทริกได้

การชนะในวันนั้นทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ของกลุ่ม อี ในสภาพที่ไม่แพ้ใครเลย (ชนะ 3 เกม และเสมอ 3 นัด) ซึ่งพอเข้าสู่รอบน็อกเอาต์แล้วพวกเขาก็ทำผลงานได้ดีต่อเนื่องจนไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนที่จะแพ้ เรอัล มาดริด ในบั้นปลาย

vs โอลิมปิก มาร์กเซย ฤดูกาล 2007-08
ลิเวอร์พูล ภายใต้การทำทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ ออกสตาร์ตการเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้น่าผิดหวัง เพราะพวกเขาไม่ชนะใครเลยใน 3 นัดแรก เริ่มจากการบุกไปเสมอกับ เอฟซี ปอร์โต้ 1-1 ตามด้วยการแพ้ มาร์กเซย 0-1 คารัง แอนฟิลด์ แถมหลังจากนั้นก็ออกไปแพ้ เบซิคตัส 1-2 อีก

ผลงานใน 3 นัดแรกทำให้หลายคนคิดว่า "หงส์แดง" คงต้องจอดป้ายเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น ทั้งที่พวกเขามีดีกรีเป็นรองแชมป์ของซีซั่น 2006-07 โดยถึงแม้ในนัดที่ 4 ลิเวอร์พูล จะไล่ถล่ม เบซิคตัส แบบขาดลอย 8-0 แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคิดว่าพวกเขาจะไปไม่รอดอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม ในนัดที่ 5 ลิเวอร์พูล ก็โชว์ฟอร์มเก่งด้วยการเปิดบ้านไล่ต้อน ปอร์โต้ 4-1 ทำให้พวกเขายังต่อลมหายใจออกไปได้ โดยสถานการณ์หลังจบนัดที่ 5 นั้น ลิเวอร์พูล มีอยู่ 7 แต้ม เท่ากับ มาร์กเซย ส่วน ปอร์โต้ เป็นจ่าฝูงของกลุ่มด้วยผลงาน 8 คะแนน

ทั้งนี้ ถ้าเกิดไม่จำเป็นต้องไปนั่งลุ้นผลการแข่งขันของเกมที่ ปอร์โต้ เจอกับ เบซิคตัส ในนัดสุดท้ายแล้วล่ะก็ ในวันเดียวกันนั้น ลิเวอร์พูล ก็ขอแค่เอาชนะให้ได้เท่านั้น พวกเขาก็จะได้เข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายทันที

ฟังแล้วมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เว้นเสียแต่ว่าโปรแกรมที่ว่าคือการออกไปเยือน สต๊าด เวโลโดรม ของ มาร์กเซย ซึ่งตอนนั้นขุนพล "โอแอ็ม" ก็กำลังคึกกันสุดๆ และมีความเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะไม่แพ้ ลิเวอร์พูล เพราะในเกมแรกที่เจอกัน มาร์กเซย ก็ไปควัก 3 แต้มมาจาก แอนฟิลด์ ได้ไปแล้ว

ถึงกระนั้น ลิเวอร์พูล ก็โชว์ฟอร์มอันสุดยอดออกมาได้ ด้วยการบุกไปถล่ม มาร์กเซย แบบขาดลอย 4-0 พร้อมกับเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะอันดับสองของกลุ่ม เอ โดยหลังจากนั้นพวกเขาก็ยังผ่านเข้ารอบต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะไปจอดป้ายที่รอบรองชนะเลิศด้วยฝีมือของ เชลซี

vs โอลิมเปียกอส ฤดูกาล 2004-05
การออกไปแพ้ อาแอส โมนาโก 0-1 ในนัดรองสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ลำบากพอตัว เพราะตอนจบเกมนั้นพวกเขาเป็นอันดับ 3 ของกลุ่ม ด้วยผลงาน 7 แต้ม ส่วน โมนาโก มี 9 คะแนน ขณะที่ โอลิมเปียกอส นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มด้วยผลงาน 10 แต้ม

โจทย์ในนัดสุดท้ายของ "หงส์แดง" คือต้องชนะเท่านั้น จะเสมอไม่ได้เป็นอันขาด โดยอย่างน้อยขอแค่ชนะ 1-0 ก็เพียงพอต่อการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ถ้าเสียประตูแล้วล่ะก็ พวกเขาก็ต้องชนะด้วยผลต่าง 2 ลูกขึ้นไป เพราะในนัดแรกที่เจอกัน ทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ ออกไปแพ้ โอลิมเปียกอส 0-1

ชื่อชั้นของ โอลิมเปียกอส อาจจะดูทำให้นี่เป็นงานที่ไม่หนักหนาสาหัสของ ลิเวอร์พูล แต่กลับกลายเป็นว่าทีมเยือนจากกรีซขึ้นนำไปก่อนจาก ริวัลโด้ ในนาทีที่ 26 ซึ่งนั่นทำให้ "เดอะ ค็อป" ซึมกันสุดๆ เพราะสถานการณ์ในตอนนั้นทีมรักของพวกเขาต้องยิงถึง 3 ลูกเป็นอย่างน้อย ถึงจะผ่านเข้ารอบต่อไปได้ และต้องห้ามเสียประตูเพิ่มด้วย โดยถ้าชนะแค่ 2-1 ลิเวอร์พูล ก็จะตกรอบจากเงื่อนไขที่ โอลิมเปียกอส ยิงประตูในเกมเยือนได้มากกว่า

ทั้งนี้ ลิเวอร์พูล มาได้ประตูตีเสมอในนาทีที่ 47 จาก ฟลอร็องต์ ซินาม่า ปงโกลล์ จนทำให้ดูเหมือนมีความหวังที่ดี แต่หลายนาทืหลังจากนั้นพวกเขากลับเจาะตาข่ายทีมเยือนเพิ่มไม่ได้ และมันก็ส่อแววว่าพวกเขาจะต้องผิดหวังคาบ้านแล้ว

อย่างไรก็ตาม พอถึงนาทีที่ 81 นีล เมลเลอร์ ก็มาทำประตูนำ 2-1 ให้กับเจ้าถิ่น จนเป็นการจุดประกายความหวังให้กับพวกเขาทันที ซึ่งหลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็เหมือนฉลามที่ได้กลิ่นเลือด พวกเขาเปิดเกมบุกอย่างเต็มที่ เพื่อขอแค่ประตูเดียวที่จะทำให้ได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

ท้ายที่สุดแล้วเรื่องน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น เพราะ สตีเว่น เจอร์ราร์ด มาทำประตูให้ทีมในช่วง 4 นาทีสุดท้าย ทำเอาแฟนบอลเจ้าถิ่นเฮกันลั่นสนาม แอนฟิลด์ และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครทำอะไรเพิ่มได้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ชนะไป 3-1 พร้อมผ่านเข้าสู่รอบต่อไปในฐานะรองแชมป์ของกลุ่ม เอ

นัดดังกล่าวไม่ใช่เกมที่คล้ายกับ "ปาฏิหาริย์" นัดเดียวในฤดูกาลนั้นของ ลิเวอร์พูล เพราะในรอบชิงชนะเลิศของศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขารัวทีเดียว 3 ลูกในช่วงครึ่งหลัง จนทำให้สามารถตีเสมอ เอซี มิลาน เป็น 3-3 ได้ ทั้งที่เกมมันทำท่าว่าจะจบลงแล้ว หลังจากที่ "รอสโซเนรี่" นำห่างไปก่อน 3-0 ในช่วง 45 นาทีแรก ก่อนที่สุดท้ายแล้ว ลิเวอร์พูล จะเอาชนะในช่วงดวลจุดโทษ จนได้ถ้วย "บิ๊กเอียร์" ไปครองเป็นสมัยที่ 5

ถ้าไม่สามารถผ่าน โอลิมเปียกอส ในนัดสุดท้ายได้แล้วล่ะก็ ลิเวอร์พูล ชุดที่ลงเล่นในฤดูกาลนั้นก็คงอดสัมผัสกับถ้วยแชมป์ไปแล้ว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »