ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » ซัดครึ่งโหล...ผ่า 5 ประเด็น!แมนซิตี้ยำใหญ่ เชลซี ยับคาเอติฮัด

ซัดครึ่งโหล...ผ่า 5 ประเด็น!แมนซิตี้ยำใหญ่ เชลซี ยับคาเอติฮัด

Posted 11/02/2019 by siamsport

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่เคยรู้สึกกดดันอะไรทั้งนั้น ด้วยการระเบิดฟอร์มไล่ถลุง เชลซี ยับเยิน 6-0 ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และกลับขึ้นไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูงอีกครั้ง

    แมตช์นี้ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทุกคน โดยเฉพาะ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ตะบันแฮตทริกในเกมนี้อีกครั้ง หลังจากทำได้ในเกมกับ อาร์เซน่อล ขณะเดียวกันการยิงประตูได้ถึงครึ่งโหลทำให้ตอนนี้ "เรือใบสีฟ้า" มีผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่า "หงส์แดง" ถึง 10 ลูกเลยทีเดียว

    ขณะเดียวกันความพ่ายแพ้ยับเยินของ เชลซี ส่งผลเสียหายมหันต์เมื่อพวกเขาต้องร่วงกราวรูดลงไปอยู่ในอันดับ 6 สุ่มเสี่ยงต่อการพลาดโอกาสทำคะแนนขึ้นไปอยู่ในอันดับท็อปโฟร์ ยิ่งไปกว่านั้นการแพ้ยับต่อ แมนฯ ซิตี้ อาจจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของนักเตะในเกมที่พวกเขาจะเจอกันอีกแมตช์ในรอบชิงชนะเลิศ ศึกคาราบาว คัพ ที่สนามเวมบลีย์ วันอาทิตย์ที่ 24 ก.พ.นี้ ด้วย

1) ผลต่างประตูได้เสียมีส่วนในการลุ้นแชมป์
    ลิเวอร์พูล ไล่ถลุง บอร์นมัธ 3-0 ในเกมลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้พวกเขากลับขึ้นนำเป็นจ่าฝูงพร้อมกับบวกผลต่างประตูได้เสียเพิ่มขึ้น แต่งานนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จัดการตอบโต้ด้วยการไล่อัด "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ไปเบาะๆ แค่ครึ่งโหลเท่านั้น !!!

แน่นอนว่าการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ดูหมือนว่าอาจจะต้องลุ้นกันยาวๆ และที่สำคัญผลต่างประตูได้เสียน่าจะเป็นตัวแปรที่อาจจะตัดสินแชมป์เหมือนกับเมื่อฤดูกาล 2011–12 ที่ทัพ "เรือใบสีฟ้า" มี 89 คะแนนเท่ากับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ได้แชมป์จากผลต่างประตูได้เสียที่เหนือ 8 ลูกเท่านั้น

    ตอนนี้ทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีคะแนนเท่ากับ ลิเวอร์พูล พร้อมกับยิงไปเบาๆ 72 ประตูแต่เสีย 54 ลูก อย่างไรก็ตามพวกเขาแข่งมากกว่า 1 แมตช์ ฉะนั้นจุดนี้น่าจะถือเป็นข้อได้เปรียบเดียวที่ "เดอะ เร้ดส์" ยังพออุ่นใจได้ และหากเก็บ 3 คะแนนได้ สถานการณ์อาจจะพลิกมาในมือยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ อีกครั้ง

2. แมนฯซิตี้ กลับมาแล้ว 
    เมื่อสองสัปดาห์ก่อน มีหลายคนมองว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หมดลุ้นแชมป์ไปแล้วหลังจากแพ้ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าเกมพรีเมียร์ลีกไม่มีอะไรที่คาดเดาได้เลย เพราะตอนนี้ "เรือใบสีฟ้า" กลับมาสู่เส้นทางการลุ้นแชมป์ได้อย่างสุดยอดอีกครั้ง

ลิเวอร์พูล ไร้ถลุง บอร์นมัธ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการโยนแรงกดดันใส่ "เรือใบสีฟ้า" ที่ต้องเปิดบ้านรับมือ เชลซี ในวันอาทิตย์ แต่กลายเป็นว่าทีมของเป๊ป ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอะไรเลย แถมพวกเขายังแสดงให้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองที่โหดเหี้ยมด้วยการยำใหญ่ เชลซี ครึ่งโหลจนแทบหาทางกลับบ้านแทบไม่ถูก

    ฤดูกาลนี้การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเต็มไปด้วยความเข้มข้น โดยสถานการณ์พลิกลับไปพลิกกลับมาตลอด ฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะแน่นอนจนกว่าเกมลูกหนังเมืองผู้ดีจนกว่าจะถึงวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ แต่ที่แน่ๆ ฟอร์มของ แมนฯ ซิตี้ ในแมตช์ล่าสุด แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้หวั่นไหวกับแรงกดดันอะไรทั้งนั้น และกลายเป็นว่าทีมที่กดดันน่าจะเป็น "หงส์แดง" มากกว่า

3. อเกวโร่ฟอร์มเข้าฝักถูกเวลา
    เซร์คิโอ อเกวโร่ ตะบันแฮตทริกในเกมกับ อาร์เซน่อล เมื่อไม่กี่สุดสัปดาห์ก่อน โดยในแมตช์นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า "กุน" เป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกหน้ากรอบเขตโทษ และเขาแสดงให้เห็นถึงความเฉียบคมอีกครั้งในเกมกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี

    สำหรับเกมล่าสุด "กุน" ทำพลาดหมูหกหน้าประตูไม่กี่หลาหลังจากยิงหลุดกรอบหน้าตาเฉยในช่วงต้นเกม แต่จากนั้นเขาค่อยๆ ปรับตัวและในที่สุดก็ยิงประตูให้ทีมได้สำเร็จ ต่อมาก็โชว์ความเฉียบคมในการซัดนอกกรอบเขตโทษส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย ตบท้ายด้วยการยิงจุดโทษที่ทั้งนิ่งและแน่นอน

 3 ประตูในเกมนี้ทำให้เขาทำไปแล้ว 11 แฮตทริกจากการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเทียบเท่ากับ อลัน เชียเรอร์ ตำนานนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส พร้อมกับขึ้นไปรั้งดาวซัลโวประจำลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่จำนวน 17 ประตู

     จำกันได้ไหมเมื่อปี 2012 อเกวโร่ สร้างความทรงจำให้สาวก "เรือใบสีฟ้า" จดจำไม่มีวันลืมจากจังหวะการยิงประตูในนาทีสุดท้ายส่งให้ทีมผงาดคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรก ฉะนั้นผลงานของ "กุน" ในเวลานี้ต้องบอกว่าเฉียบคมยากจะหาใครมาทัดเทียมจริงๆ
 
4. สเตอร์ลิงกับแบร์นาโด้ ซิลวา ปั่นป่วนริมเส้น 
    เป๊ป กวาร์ดโอล่า ตัดสนใจดร็อป เลรอย ซาเน่ เพื่อใช้งาน สเตอร์ลิง โดยดาวเตะชาวอังกฤษ ไม่ทำให้ผิดหวังเมื่อเขาโชว์ลีลากระชากลากเลื้อยทางริมเส้นฝั่งซ้ายได้ตลอด

    สเตอร์ลิงเอาชนะ เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า โดยเฉพาะในครึ่งหลัง อดีตสตาร์ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ทำให้ ดาวเตะชาวสแปนิช ต้องพลาดมหันต์เมื่อเจอกับความเร็วป่านจรวดของ แข้งทีมชาติอังกฤษ และทำให้เขาหวดเข้าเต็มๆ จนทำให้ทีมเสียจุดโทษ โดยตลอดทั้งเกมเขาสามารถปั่นป่วนทางริมเส้นได้อย่างสุดยอด

 ขณะที่ทางฝั่งขวา แบร์นาโด้ ซิลวา โชว์ฟอร์มสุดยอดโดยดาวเตะชาวโปรตุกีส คอยเลี้ยงตะลุยทางกราบขวาจนทำให้แผงแนวรับของ "สิงโตน้ำเงินคราม" ไม่สามารถตั้งกระบวนยุทธได้ ฉะนั้นในแมตช์นี้ แมนฯ ซิตี้ แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นทางพื้นที่ปีกทั้งสองฝั่ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้งาน ซาเน่ เลย

    ที่สำคัญหาก ซิลวา กับ สเตอร์ลิง ยังคงโชว์ฟอร์มสุดยอดเหมือนกับในเกมที่ผ่านมา งานนี้ ปีกทีมชาติเยอรมนี มีหวังได้นั่งจับเจ่าอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรองไปอีกนาน เพราะคงยากที่ กวาร์ดิโอล่า จะเป็นเปลี่ยนแปลงทีมที่กำลังฟอร์มเข้าฝักแบบนี้แน่นอน

 5. เชลซี และ ซาร์รี่ กำลังเข้าขั้นวิกฤติ
    เชลซี เริ่มต้นด้วยการทำผลงานสุดยอดไม่แพ้ทีมใดเลยในช่วง 2-3 เดือนแรกในฤดูกาลนี้ อย่างไรก็ตามช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาต้องเจอกับสถานการณ์สุดย่ำแย่ อย่างในแมตช์พบ บอร์นมัธ ใครจะไปคิดว่า "สิงโตน้ำเงินคราม" จะโดนยิง 4 ประตู แถมในเกมกับ แมนฯ ซิตี้ ยังมาโดนยำใหญ่อีกครึ่งโหล

    การแพ้ "เรือใบสีฟ้า" นอกจากจะเป็นการเสีย 6 ประตูครั้งแรกของ "สิงโตน้ำเงินคราม" กับการเล่นในพรีเมียร์ลีก และยังเป็นการแพ้ยับเยินที่สุดในการแข่งขันทุกรายนับตั้งแต่ที่โดน น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ถลุงยับไม่นับญาติสกอร์ 0-7 เมื่อเดือนเมษายน 1991 แต่ยังทำให้พวกเขาอันดับตกฮวบมาอยู่ที่ 6 เรียบร้อยแล้ว

สำหรับสถานการณ์ของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือชาวอิตาเลียน ต้องบอกว่าสุ่มเสี่ยงต่อการโดนไล่ออกเหลือเกิน และถ้าหากเขาไม่สามารถนำทีมกลับมาสู่เส้นทางที่เหมาะสมได้อีกครั้ง เชื่อขนมกินได้เลยว่า อดีตนายใหญ่นาโปลี ต้องเตรียมหางานใหม่ได้เลย

    แถมในสนามมีเสียงดังสนั่นจากแฟนบอลเจ้าบ้ายว่า "พวกนายต้องการมูรินโญ่" แม้ว่า "เดอะ สเปเชียล วัน" อาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับ เชลซี ในช่วงเวลานี้ แต่หากมองที่ไป ซาร์รี่ ชายคนนี้ดูท่าทางจะไม่ใช่คำตอบที่จะช่วยกอบกู้ทีมได้เช่นกัน

    การแพ้เกมเยือน 2 เกมติดต่อกันพร้อมกับเสียประตูอย่างน้อย 4 ประตูในแต่ละเกม (แพ้ บอร์นมัน 4-0 และแพ้ แมนฯ ซิตี้ 6-0) ถือเป็นสถิติที่ไม่น่าจดจำสำหรับพวกเขานับตั้งแต่ปี 1990 และนี่คงเป็นสิ่งที่ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสร และแฟนบอล "สิงห์บลูส์" ไม่อยากเห็นอีกต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »