ผลงานที่สุดยอดของ ลิเวอร์พูล ในเกมไล่ทุบ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ 2-0 ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็น 3 คะแนนที่สวยงาม แต่ไม่เพียงพอสำหรับการโบยบินเพื่อผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2018-19
 
"หงส์แดง" สร้างสถิติที่โลกต้องจดจำเมื่อเป็นสโมสรแรกที่เก็บได้ 97 คะแนนพร้อมกับแพ้แค่ 1 เกม แต่ได้เพียงรองแชมป์ลีกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่บวกความเจ็บช้ำในครั้งนี้อาจจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้พวกเขาสู้ถวายชีวิตในรอบชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ดวล สเปอร์ส วันที่ 1 มิถุนายนนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ของทีม คงจะมีการแก้ไขข้อบกพร่องบางอย่างอยู่ทีมเพื่อต่อยอดสำหรับฤดูกาล 2019-2020 ในการสานฝันสาวก "เดอะ ค็อป" ได้เห็นทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งแรกหลังรอคอยมา 29 ปี (ซีซั่นใหม่ก็ครบ 30 ปีพอดิบพอดี)

1. มาเน่ ก้าวข้ามเงา ซาลาห์
    ซาดิโอ มาเน่ มักจะมีบทบาทในฐานตัวสนับสนุน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เพราะดาวยิงชาวอียิปต์ เป็นเครื่องจักรถล่มประตูในฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว

    ปีกชาวเซเนกัล ซัด 2 ประตูในเกมชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ 2-0 ส่งผลให้ยอดรวมจากการยิงประตูในลีกเพิ่มเป็น 22 ลูกจากการลงเล่น 36 แมตช์ในฤดูกาลนี้ เปรียบกับ  โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ซัดไป 22 ประตูจากการลงสนามทั้งหมด 38 แมตช์

มาเน่ เป็นนักเตะสำคัญสำหรับ ลิเวอร์พูล อย่างมากโดยเฉพาะเมื่อสองเดือนก่อนตอนที่ "คิง ออฟ อียิปต์" มีปัญหาฟอร์มฝืดในการส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายคู่แข่ง สำหรับตอนนี้เจ้าตัวเล่นมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ที่ยิงให้ "หงส์แดง"  13 ประตูจากฤดูกาลแรกของเขากับทีมเมื่อซีซั่น 2016-17 ต่อมาก็ซัด 20 ประตูเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา และตอนนี้ก็ตะบันไป 26 ลูกจากทุกรายการ

แน่นอนว่า มาเน่ ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับโลกไปแล้ว และสมควรอย่างที่สุดที่จะได้รับการยกย่องไม่แตกต่างจาก ซาลาห์

2. โอริก้า ฟอร์มดีคู่ควรอยู่ต่อไป
    ลิเวอร์พูล เคยมีข่าวเตรียมรับฟังข้อเสนอขอซื้อ ดิว็อค โอริก้า ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

    ดาวยิงชาวเบลเยียมกลับมาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการเล่นแบบยืมตัวกับ โวล์ฟสบวร์ก และ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ก็พร้อมที่จะให้โอกาสกับเขา เพื่อที่จะได้พิสูจน์ตัวเองว่ามีค่าคู่ควรอยู่กับ "หงส์แดง" หรือไม่

 โอริกี้ ค่อยๆ สร้างความเชื่อมั่นให้กับ คล็อปป์ หลังจากที่เขาสร้างปาฏิหาริย์ซัดประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเกมชนะ เอฟเวอร์ตัน เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา แต่ฟอร์มที่สาวก "เดอะ ค็อป" จดจำไม่ลืมก็คือการซัด 2 ประตูดับ บาร์เซโลน่า ในค่ำคืนแห่งการพลิกนรกชนะ บาร์เซโลน่า ทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

    ตอนนี้มีการเจรจาเกี่ยวกับเรื่องสัญญาฉบับใหม่แล้ว และ โอริกี้ สมควรที่จะได้รับรางวัลนี้ เพราะสำหรับ ลิเวอร์พูล เขาคือยอดนักเตะซูเปอร์ซับตัวจริงเสียงจริง

3. เจ้าหนูเทรนต์จอมแอสซิสต์
    มาเน่ ได้ประตูแรกจากการเปิดเลียดทางกราบขวาจาก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์  โดยนี่เป็นการแอสซิสต์ครั้งที่ 12 ในเกมพรีเมียร์ลีกของเขาประจำฤดูกาลนี้ และเป็นสถิติใหม่ด้วย

ก่อนเกมวันอาทิตย์ "เจ้าหนูเทรนต์" กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน มีสถิติแอสซิสต์เท่ากันจำนวน 11 ครั้ง ซึ่งถือว่าสูงมากๆ สำหรับผู้เล่นในตำแหน่งกองหลัง และการเปิดบอลให้ ดาวเตะทีมชาติเซเนกัล ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย ทำให้เขาทำแอสซิสต์แซงหน้า กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ เรียบร้อย

    ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะ แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษ ยังระเบิดฟอร์มสุดยอดเมื่อเปิดบอลอย่างแม่นยำให้ อดีตดาวเตะ "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน โหม่งให้ "หงส์แดง" ขึ้นนำ 2-0 จังหวะนั้นทำให้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สร้างสถิติเพิ่มเป็น 13 แอสซิสต์ในเกมลีก

4. สู้ต่อไป
    นี่ยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่เป็นเพียงครั้งแรกเท่านั้น ประโยคเด็ดจากปากของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอมัน ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องจริง

    ลิเวอร์พูล สร้างทีมขึ้นมาจนมีลุ้นความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ แต่ศักยภาพของพวกเขาสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้อย่างต่อเนื่องในซีซั่นต่อไป  เพราะทีมชุดนี้เต็มไปด้วยประสบการณ์ และมีแรงกระตุ้นในเรื่องความกระหายความสำเร็จ รวมทั้งขุมกำลังที่พร้อมแทบทุกตำแหน่ง

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, ฟาบินโญ่, โม ซาลาห์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, อลีสซง เบ็คเกอร์ และอีกหลายๆ คน ซึ่งนักเตะเหล่านี้ยังมีเวลาในการพัฒนาศักยภาพ ฉะนั้นนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการเติบโต และการเรียนรู้เพื่อก้าวขึ้นมาท้าทายความสำเร็จในพรีเมียร์ลีก

    ที่สำคัญพวกเขายังมีเกมสำคัญรออยู่นั่นก็คือนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ สเปอร์ส วันที่ 1 มิ.ย.นี้ เชื่อว่า คล็อปป์ และลูกทีมรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดที่พลาดแชมป์ลีกแล้ว ฉะนั้นการนำโทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" มาประดับที่ตู้โชว์ในสนามแอนฟิลด์ พวกเขาพร้อมสู้ถวายชีวิตเพื่อความสุขของสาวก "เดอะ ค็อป"

5. แพ้ 1 เกม ได้ 97 คะแนนยังไม่เพียงพอเป็นแชมป์
    ใครจะไปคิดว่าการเก็บได้ถึง 97 คะแนนจะเป็นเพียงแค่รองแชมป์พรีเมียร์ลีกเท่านั้น โดยมีเพียงแค่ 2 ฤดูกาลที่มีสโมสรทำแต้มได้มากกว่านี้ก็คือ ในซีซั่น 2017-18 เมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บได้ 100 คะแนน และซีซั่นปัจจุบันซึ่ง "เรือใบสีฟ้า" สอยไป 98 แต้ม พร้อมกับสอยโทรฟี่ลีกสูงสุดไปตั้งโชว์ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม

ยิ่งไปกว่านั้น "หงส์แดง" มีสถิติที่สุดยอดเมื่อแพ้เพียง 1 เกม ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ แพ้ไป 4 แมตช์ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาเสมอเยอะถึง 7 เกม แถมจุดเปลี่ยนที่สำคัญก็คือการที่พวกเขาทิ้งความได้เปรียบ 7 คะแนนไปอย่างน่าเสียดายในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องชวดแชมป์ลีกฤดูกาลนี้