ดูเหมือนว่า เชลซี คงเล็งที่จะแต่งตั้ง แฟร้งค์ แลมพาร์ด เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ หลังจากมีความเป็นไปได้สูงว่า เมาริซิโอ ซาร์รี่ เตรียมที่จะโบกมือลา "สิงโตน้ำเงินคราม" เพื่อเข้าไปรับงานกุมบังเหียน "ม้าลาย" ยูเวนตุส ในช่วงซัมเมอร์นี้
    หลังจากมีรายงานว่าทั้ง 2 สโมสรได้ตกลงค่าชดเชยจำนวน 7 ล้านปอนด์ (ราว 287 ล้านบาท) แน่นอนว่าเหมือนเป็นการเปิดทางให้ แลมพาร์ด ได้เข้ามาคุมสโมสรอันเป็นที่รัก อย่างไรก็ตามการที่จะมารับงานในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับ "แลมพ์ส" เพราะเขาต้องแก้ปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นในยุค ซาร์รี่

    แน่นอนว่าตอนนี้ทีมเสียนักเตะชั้นยอดไปแล้วอย่าง เอแด็น อาซาร์ ไปให้กับ เรอัล มาดริด เรียบร้อยแล้ว แถมยังเจอสถานการณ์ถูก สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) สั่งลงโทษแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเสริมทัพจนถึงช่วงซัมเมอร์หน้า ดังนั้น อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ จะต้องพยายามทุกวิธีทางที่จะช่วยให้ทีมกลับเล่นได้อย่างสุดยอดในฤดูกาล 2019-2020

1. เชื่อมั่น ฮัดสัน-โอดอย 
    คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ปีกดาวโรจน์ น่าจะเป็นนักเตะดาวรุ่งที่เก่งที่สุดที่เติบโตขึ้นมานับตั้งแต่ จอห์น เทอร์รี่ ที่ก้าวขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อ 2 ทศวรรษก่อน โดยในเวลานี้นักเตะมีปัญหาบาดเจ็บ หลังจากเอ็นร้อยหวายฉีกขาดก่อนที่จะจบฤดูกาลที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตามเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ฮัดสัน-โอดอย ได้เคยร้องขอย้ายทีมหลังตกเป็นเป้าหมายการเสริมทัพของ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค แม้ "สิงโตน้ำเงินคราม" พร้อมที่จะยื่นข้อเสนอสุดงามให้กับนักเตะ แต่สตาร์ลูกหนังเลือดผู้ดีต้องการความแน่ใจว่าจะมีโอกาสได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง

    ฉะนั้น แลมพาร์ด ต้องแสดงความเชื่อมั่นในตัว ฮัดสัน-โอดอย ด้วยการให้เขาลงเล่นตัวอย่างอย่างสม่ำเสมอในฤดูกาลหน้าเหมือนกับที่เขาได้รับจาก ซาร์รี่ เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ดังนั้นหากแข้งดาวรุ่งพุ่งแรงเซ็นสัญญาระยะยาวแน่นอนว่าจะเป็นการหยุดเรื่องวุ่นวายของสโมสร และทำให้แฟนบอลได้รับข่าวดี

2. แสดงให้ทุกคนเห็นถึงความเป็น "บอส"
    แลมพาร์ด โชว์กึ๋นชั้นยอดกับฤดูกาลแรกในการกุมบังเหียน ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าเขามีศักยภาพชั้นยอด แต่แค่นั้นเพียงพอหรือเปล่าล่ะ ? แน่นอนว่า "แลมพ์ส" ต้องเจอกับงานที่ยากลำบากในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ดังนั้นเขาต้องตัดเรื่องบางอย่างออกไปให้ได้

    ตำนาน "สิงห์บลูส์" วัย 40 ปี ไม่ได้ต้องการหรือคาดหวังความเมตตาจาก โรมัน อบราโมวิช อภิมหาเศรษฐีเจ้าของสโมสรชาวรัสเซีย โดยหนทางที่ดีที่สุดที่ "แลมพ์ส" ต้องทำลายแนวคิดที่ว่าเขาเป็นเพียงผู้จัดการทีมฝึกหัด  แต่ต้องพยายามเรียนรู้การทำงานโค้ช และทุ่มเทกับการนำทีมฝึกซ้อมอย่างเต็มที่

    ในฤดูกาลหน้า เชลซี ต้องเจอกับงานสุดหินเมื่อพวกเขาต้องเปิดสนามด้วยการปะทะกับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ถ้า "สิงโตน้ำเงินคราม" ได้ผลการแข่งขันที่ดีเยี่ยมในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ถือเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ที่สวยงานของทีมภายใต้การกุมบังเหียนของ แลมพาร์ด เหมือนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เคยทำตอนที่เขานำทีมคว่ำ "เร้ด เดวิลส์" เกมแรกที่กุมบังเหียนเมื่อปี 2004
 

3. ให้โอกาสนักเตะที่ถูกยืมกลับมาฉายแสง
    ฮัดสัน-โอดอย เป็นหนึ่งในนักเตะดาวรุ่งที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเนื่องจากเขาได้รับโอกาสลงเล่นกับทีมชุดใหญ่อย่างต่อเนื่องทำให้มีโอกาสได้พัฒนาฝีเท้า

    อย่างไรก็ตามมีนักเตะดาวรุ่งหลายคนอย่าง เมสัน เมาท์ ,แทมมี่ อับราฮัม, รีซ เจมส์ และ ฟิกาโย โทโมริ ประสบความสำเร็จในการถูกส่งไปยืมตัวช่วงหลายๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา แม้ว่าจะในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ก็ตาม ส่วนแข้งคนอื่นๆ อย่าง เคิร์ต ซูม่า และ มิตชี่ บัตชูอา ถือเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์สูง แต่ ซาร์รี่ ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวพวกเขา

    หนทางเดียวก็คือ แลมพาร์ด พยายามเชื่อมโยงระหว่างแฟนบอลเชลซี ให้เชื่อมั่นในตัวนักเตะที่ถูกยืมไปใช้งาน โดยเฉพาะบรรดาดาวรุ่งพรสวรรค์ของสโมสร ด้วยการให้โอกาสนักเตะเหล่านั้นลงสนาม ยิ่งการที่ เชลซี โดน ยูฟ่า สั่งแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์นี้ กับช่วงเดือนมกราคมปีหน้า ทำให้นักเตะที่ถูกยืมทั้งหมดนี้มีความหมายกับสโมสรมากๆ

    กระนั้นไม่มีใครรู้ว่านักเตะดาวรุ่งคนไหนจะฉายแสงมากไปกว่า โจดี้ มอร์ริส ผู้ช่วยของ แลมพาร์ด ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ฝึกเยาวชนมานาน 5 ปี

4.  จับ ก็องเต้ เล่นในตำแหน่งที่ถนัดที่สุด 
    ซาร์รี่ ประกาศก้องชัดเจนให้ จอร์จินโญ่ ลงเล่นเป็นหัวใจในแดนกลางของสโมสร ทำให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ โดนจับไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่คุ้นเคยนั่นก็คือการสวมบทบาทของผู้เล่นเกมรุกมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ ไม่สามารถปรับตัวได้

    ก็องเต้ ยังคงเป็นนักเตะชั้นยอด แต่บางครั้งศักยภาพของเขาโดนลดทอนลงไปจากการถูกจับไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม แน่นอนว่านักเตะสามารถกลับมาอยู่ในฟอร์มที่สุดยอดเหมือนเดิม หากถูกจับไปเล่นในตำแหน่งที่เจ้าตัวถนัดที่สุด

    นี่คือหนึ่งในนักเตะที่ทำให้ เชลซี ยากที่จะแพ้  ส่วนในเรื่องของเกมรุก "สิงห์บลูส์" มีผู้เล่นอย่าง รูเบน ลอฟตัส-ชีค, รอสส์ บาร์คลี่ย์ และ เมาท์ ซึ่งนักเตะเหล่านี้ควรจะได้รับอิสระในการเล่นเกมบุกอย่างเต็ม แน่นอนว่าจะสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้มากเป็นทวีคูณ

5. กำจัดสไตล์ "ซาร์รี่บอล" ทิ้งไป 
    ฟังดูเหมือนนี่เป็นทฤษฏีที่สุดยอดซะเหลือเกิน แต่จริงๆ แล้วสไตล์ ซาร์รี่บอล มันช่างห่างไกลจากความเป็นจริง แน่นอนว่าแฟนบอลเชลซี คงรู้เช่นเห็นชาติแล้วว่าทีมต้องพบกับความยากลำบากมากขนาดไหนกับแผนการเล่นที่กุนซือชาวอิตาเลียนนำมาใช้กับสโมสร

    ลองดูผลงานของ มาเตโอ โควาซิช กับ จอร์จินโญ่ จะเห็นได้ว่าทั้งสองคนไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานดีมีคุณภาพได้อย่างที่คาดหวัง จริงๆ แล้ว ซาร์รี่ พยายามที่จะเลิกสไตล์การเล่นแบบดั่งเดิมของสโมสรนั่นก็คือสวนกลับฉับพลัน และแทนที่สไตล์การเล่นที่มีเสน่ห์ตื่นเต้นเร้าใจ

    อย่างไรก็ตาม แลมพาร์ด มีพื้นฐานมาจากการเล่นแบบเดิมของ เชลซี ฉะนั้นเขาต้องตัดทิ้งองค์ประกอบที่ดูวุ่นวายไม่จำเป็นแบบ "ซาร์รี่บอล" ออกไป และแทนที่ด้วยการเล่นที่เล่นรวดเร็วว่องไวรวมทั้งมีเป้าหมายชัดเจน วิธีแบบนี้มีสิทธิ์ชนะใจแฟนบอลเชลซี