เกมระหว่าง บัลแกเรีย ปะทะ อังกฤษ ในศึกยูโร 2020 กลุ่มเอ เมื่อวันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม ต้องมีการสั่งหยุดการแข่งขันชั่วคราวถึง 2 ครั้งในครึ่งแรก หลังจากที่ทัพ "สิงโตคำราม" โดนแฟนบอลเจ้าบ้านส่งเสียงเหยียดผิวอย่างรุนแรง
    ศึกยูโร 2020 รอบคัดเลือก กลุ่ม เอ ระหว่าง บัลแกเรีย ปะทะ อังกฤษ ที่สนามสตาดิโอน วาซิล เลฟสกี้ เกิดเรื่องสุดฉาวเมื่อผู้ตัดสินสั่งให้หยุดเกมชั่วคราว 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรก เนื่องจากมีแฟนบอลเจ้าบ้านส่งเสียงเหยียดผิวใส่ผู้เล่นทัพ "สิงโตคำราม" อย่างหนัก

    สถานการณ์ในเกมนี้ตึงเครียดตั้งแต่เริ่มเกมเมื่อ ราฮีม สเตอร์ลิง โดนโห่ทุกครั้งที่จับบอลได้ นอกจากนี้ ไทโรน มิงส์ ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าที่โดนเหยียดผิวเมื่อแฟนบอลเจ้าบ้านกลุ่มหนึ่งส่งเสียงลิงเพื่อจงใจล้อเลียนเชื้อชาติของเขา ขณะเดียวกันยังมีแฟนบอลบางคนที่อยู่ในสนามทำท่าสัญลักษณ์ของพวกนาซีด้วย

    หลังจากนั้น มิงส์ กับ แฮร์รี่ เคน กัปตันทีมได้เข้าไปบ่นกับผู้ตัดสินหลังจากเกมผ่านไปครึ่งชั่วโมง โดย หัวหอกท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ยังได้เข้าไปคุยกับ อิวาน เบเบ็ค กรรมการจนทำให้มีการสั่งหยุดเกม 5 นาที จากนั้นท่านเปาได้มีการเข้าไปพูดคุยกับตัวแทนสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เพื่อแจ้งสถานการณ์นี้ ก่อนที่โฆษกสนามจะประกาศเตือนแฟนบอลให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว โดยหากไม่หยุดจะมีการหยุดเกมอีกครั้ง หรืออาจจะยกเลิกเกมนี้ไปเลย

    อย่างไรก็ตามก่อนพักครึ่ง ประมาณช่วงนาทีที่ 41 แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ได้เข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่และผู้ช่วยผู้ตัดสินบริเวณริมเส้น ส่งผลให้เกมต้องหยุดชั่วคราวอีกครั้ง สุดท้ายเกมนี้มีการทดเวลาบาดเจ็บนานถึง 6 นาที เนื่องจากมีการหยุดเกมชั่วคราว 2 ครั้ง

    นอกจากนี้หลังจบครึ่งแรก อิเวลิน โปปอฟ กัปตันทีมชาติบัลแกเรีย ได้เข้าไปพูดคุยกับบรรดาแฟนบอลบ้านเกิดเพื่อข้อร้องให้หยุดการส่งเสียงเหมือนลิงเพื่อเหยียดผิวและพูดจาหยาบคายใส่นักเตะอังกฤษ

     ทั้งนี้ ยูฟ่า ได้มีมาตรการออกมา 3 ระดับเพื่อใช้ในการรับมือเกมที่มีการเหยียดผิว โดยขั้นแรกให้ผู้ตัดสินแจ้งไปยังโฆษกสนามเพื่อประกาศให้แฟนบอลหยุดพฤติกรรมไม่เหมาะสม หากยังมีการกระทำต่อไปก็ให้ใช้มาตรการที่ 2 โดยท่านเปาสามารถสั่งนักเตะให้ออกจากสนาม และเข้าไปในห้องแต่งตัวขณะที่มีการประกาศเตือนอีกครั้ง แต่ถ้ายังไม่หยุด ก็ต้องใช้มาตรการสุดท้ายนั่นก็คือสั่งยุติการแข่งขัน