ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ยูฟ่า /ยูโรป้าลีก/ยูโรคัพ » เกมชี้ชะตา!เจาะ 5 ข้อ ลิเวอร์พูล เยือน เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก

เกมชี้ชะตา!เจาะ 5 ข้อ ลิเวอร์พูล เยือน เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก

Posted 10/12/2019 by siamsport

ลิเวอร์พูล มีคิวต้องไปเยือน เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ในเกมสุดท้าย รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี วันอังคารที่ 10 ธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นแมตช์ที่สำคัญมากๆ เพราะชี้ชะตาโอกาสที่ "หงส์แดง" จะอยู่ในเส้นทางป้องกันแชมป์ หรือต้องโบกมือลาถ้วยใบโตยุโรปก่อนเวลาอันควร
    แมตช์นี้เงื่อนไขเดียวที่ "เดอะ เร้ดส์" ต้องทำก็คือไม่แพ้เจ้าบ้าน ขณะที่ ซัลซ์บวร์ก ต้องชนะเท่านั้น แต่หากเกิดเหตุช็อกที่ ลิเวอร์พูล แพ้ ก็ต้องไปลุ้น นาโปลี แพ้ เกงค์ จะทำให้พวกเขาได้ตั๋วไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ฉะนั้้นในแมตช์นี้ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเล่นอย่างมีสมาธิเพื่อคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการให้ได้

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับ ลิเวอร์พูล ก็คือผลงานในการเล่นเกมเยือนรอบแบ่งกลุ่ม  เพราะพวกเขาคว้าชัยชนะได้แค่ 2 เกมในการเล่นรอบแบ่งกลุ่มยุค นายใหญ่ชาวด๊อยท์ช ครองบัลลังก์ในถิ่นแอนฟิลด์ ฉะนั้นนี่เป็นจุดสำคัญที่อาจจะสร้างปัญหาให้กับ "หงส์แดง" ก็เป็นได้


1. ฟอร์มดีในลีกทั้ง ลิเวอร์พูล และ ซัลซ์บวร์ก
    "หงส์แดง" เพิ่งโชว์ผลงานระดับมาสเตอร์พีซในเกมบุกถล่ม บอร์นมัธ 3-0 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยนี่เป็นฟอร์มที่ยอดเยี่ยมอย่างมากของ ลิเวอร์พูล และทำให้พวกเขาทำแต้มทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไกลสุดกู่ 14 คะแนน และ เลสเตอร์ ซิตี้ อันดับ 2 อยู่ 8 คะแนน

    ก่อนหน้าเกมกับ บอร์นมัธ ต้องยอมรับว่า "เดอะ เร้ดส์" มีผลงานค่อนข้างกระท่อนกระแท่นซึ่งมันเป็นเหมือนสัญญาณที่บ่งบอกว่าทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กำลังเริ่มออกแนวตัน เพราะสโมสรดูเหมือนจะโดนจับทางได้ ที่สำคัญคู่แข่งที่ต้องดวลกับทีมักจะเล่นรัดกุม และรอจังหวะสวนกลับ

 


 

    ขณะที่ ซัลซ์บวร์ก ทำผลงานได้อย่างสุดยอดในเกมลีก ประเทศออสเตรีย เมื่อพวกเขายังแพ้ใครไม่เป็นนับตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2019 กระนั้นใน 3 เกมหลังสุดพวกเขาเก็บชัยชนะเพียง 1 แมตช์เสมอ 2 เกม แต่ก็ยังคงรั้งตำแหน่งจ่าฝูงอย่างเหนียวแน่นในฤดูกาลนี้

    เมื่อเทียบฟอร์มในลีกฤดูกาล 2019/2020  ลิเวอร์พูล ลงเล่นไปแล้ว 16 เกม ชนะ 15 เสมอ 1 แมตช์ ยังไม่แพ้ใครโดยเก็บคะแนนไป 46 แต้ม ขณะที่ ซัลซ์บวร์ก แข่งไป 17 เกมชนะ 13 แมตช์เสมอ 4 ทำแต้มไป 43 คะแนน ฉะนั้นหากวัดผลงานในลีกต้องยอมรับว่าร้อนแรงไม่แตกต่างกัน

    แน่นอนว่าตอนนี้ความมั่นใจของทั้งสองทีมมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่สำหรับ "เดอะ เร้ดส์" ค่อนข้างจะผ่อนคลายนิดหน่อยตรงที่แค่เสมอก็เข้ารอบน็อกเอาต์ ขณะที่เจ้าบ้านต้องคว้าชัยชนะให้ได้เท่านั้น ฉะนั้นเกมนี้ ซัลซ์บวร์ก คงจะเปิดเกมบุกเข้าใส่เพื่อยิงประตูแรกปลดล็อกให้ได้ หลังจากนั้นก็รอตั้งรับสวนกลับ เพราะแนวรับทีมเยือนก็ยังไม่ค่อยสมประกอบเท่าไหร่
 

 2. จินี่ คืนทีม, ลอฟเรนลุ้นฟิต, หนูเทรนต์ตัวจริง
    ตอนนี้ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล กำลังประสบปัญหาในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก โดย เดยัน ลอฟเรน เพิ่งโดนปัญหาบาดเจ็บเล่นงานจนออกจากสนามช่วงระหว่างเกมที่ชนะ บอร์นมัธ และดูเหมือนว่าเขาอาจจะพลาดลงสนามในเกมสำคัญวันอังคารนี้

    ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องขาด โฌแอล มาติป และ ฟาบินโญ่ ที่โดนอาการบาดเจ็บพรากไปจากสังเวียนลูกหนัง ซึ่งมีรายงานว่าทั้งสองคนคงไม่สามารถกลับมาสวมสตั๊ดเพื่อลงสนามช่วย ลิเวอร์พูล ได้จนกระทั่งหลังจากช่วงคริสต์มาส หรืออาจจะเลยไปถึงช่วงหลังปีใหม่ก็ได้

 


 

    จากกรณีที่ ลอฟเรน ยังเดี้ยง นั่นหมายความว่า โจ โกเมซ คงจะต้องสวมบทคู่หูเซนเตอร์แบ็กของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ขณะเดียวกันสาวก "เดอะ ค็อป" ยังพอยิ้มได้เมื่อพวกเขาจะเห็น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยืนตระหง่านในตำแหน่งแบ็กขวา

     ในส่วนของแดนกลาง จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม กลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้ง หลังไม่ได้ลงสนามในเกมล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งนั่นคงทำให้เขาได้ลงเล่นตัวจริงในแมตช์นี้ เช่นเดียวกับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่คงได้ลงเล่นร่วมกับ ดาวเตะดัตช์ ส่วนอีกรายที่น่าจะได้ลงสนามคงเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หรือ นาบี เกอิต้า หลังโชว์ฟอร์มโดดเด่นในเกมกับ บอร์นมัธ 

    สำหรับ 3 แนวรุกจะเป็นการกลับมาประสานงานกันอีกครั้งของสามประสาน "หินเหล็กไฟ" (SMF) ได้แก่ ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งได้พักในเกมล่าสุดเช่นกัน , โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ งานนี้บอกเลยว่าหากเกมรับ ซัลซ์บวร์ก เสียสมาธิมีสิทธิ์น้ำตารินได้เลย

 
3.  ฮาแลนด์ ตัวแปรสำคัญ 
    ตอนนี้หนึ่งในกองหน้าดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองอย่างมากคงหนีไม่พ้น เออร์ลิ่ง เบราต์ ฮาแลนด์ หลังจากเจ้าตัวระเบิดฟอร์มสุดยอดในฤดูกาลนี้ ทำให้กลายเป็นผู้เล่นเนื้อหอมที่บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรป อยากกระชากตัวไปเสริมแกร่งมากๆ

    แม้ว่า หัวหอกชาวนอร์เวย์ จะเพิ่งได้มีประสบการณ์ในการเล่นถ้วยใบโตยุโรปครั้งแรกก็ตาม และเขาก็สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการลูกหนังถ้วยใบโตยุโรปจารึกเอาไว้ ที่สำคัญตอนนี้เจ้าตัวซัดไปเบาๆ สบายๆ 28 ประตูจากการเล่นให้ต้นสังกัดทุกรายการในซีซั่นนี้ ยิ่งทำให้แนวรับลิเวอร์พูล ต้องระมัดระวังเอาไว้ให้ดีๆ

    อย่างไรก็ตามทีมของกุนซือเจสซี่ มาร์ช ไม่ได้มีดีแค่ หัวหอกวัย 19 ปี เท่านั้น เพราะพวกเขายังมีทีเด็ดอยู่ที่สองประสานจากเอเชียได้แก่ ทาคูมิ มินามิโนะ ดาวเตะจอมเทคนิคชาวญี่ปุ่น และ ฮวาง ฮี-ชาน กองหน้าตัวเก่งเกาหลีใต้ ซึ่งปั่นป่วนเกมรับของ ลิเวอร์พูล มาแล้วในแมตช์แรกที่แอนฟิลด์

    ฉะนั้นหาก "หงส์แดง" มี 3 ดาวเตะความเร็วสูงอย่าง มาเน่, ซาลาห์ และ ฟีร์มีโน่ งานนี้เจ้าบ้านก็มีทีเด็ดอย่าง ฮาแลนด์, มินามิโนะ และ ฮี-ชาน ต้องบอกเลยว่าสามประสานของทั้งสองฝั่งอันตรายทุกวินาที นี่จึงเป็นงานสุดหินทั้งของ คล็อปป์ และ มาร์ช ในการจัดการวางหมากจับแนวรุกที่สุดยอดของแต่ละฝ่ายให้ได้
 

4. เกมเยือนแชมเปี้ยนส์ ลีก น่าเป็นห่วง
    ก่อนแมตช์ที่ต้องยกพลไปเยือนถิ่นเร้ด บูลล์ส อารีน่า นั้น "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ไม่ค่อยถูกโฉลกกับการต้องออกไปเล่นนอกบ้านซะเท่าไหร่ เพราะพวกเขามักจะได้ผลการแข่งขันที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์ในการลงสนามชิงชัยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

 


 

    "เดอะ เร้ดส์" เก็บชัยชนะได้เพียงแค่ 2 เกมเท่านั้นจากการเล่นเกมเยือน 8 แมตช์ในรอบแบ่งกลุ่มในการแข่งขันถ้วยใบโตยุโรป ภายใต้การกุมบังเหียนของ คล็อปป์ โดยสองเกมที่สามารถบุกคว้า 3 คะแนนได้เกิดจากการปะทะกับสมันน้อยอย่าง มาริบอร์ และเกงค์

    อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล มีสถิติที่ดีเยี่ยมในการเล่นเกมเยือนช่วงที่ผ่านเข้าไปเล่นรอบน็อกเอาต์ โดยพวกเขาเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์นี้ยังไม่สามารถคิดได้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการต้องผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายให้ได้ซะก่อน

 
5. ลุ้นคลีนชีตแรกในแชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้
    หลังจากที่ ลิเวอร์พูล สามารถเก็บคลีนชีตที่รอคอยในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในแมตช์บุกถล่ม บอร์นมัธ 3-0 สนามไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาสามารถเก็บคลีนชีตได้ 3 แมตช์จากทั้งหมด 16 แมตช์ในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีฤดูกาลนี้

 

    อย่างไรก็ตามสถานการณ์คลีนชีตของ "เดอะ เร้ดส์" ในแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ ถือว่าไม่น่าอภิรมย์ เมื่อพวกเขายังไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้เลย ฉะนั้นในการเยือน เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายแนวรับของแชมป์เก่าอย่างมากว่าจะสามารถป้องกันการเสียประตูได้ไหม

    ขณะเดียวกันสาวก "เดอะ ค็อป" ต้องยอมรับว่าเกมรุกของเจ้าบ้านถือว่าดุดันมากๆ โดยเฉพาะ  เออร์ลิ่ง เบราต์ ฮาแลนด์ ที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มระเบิดเถิดเทิง โดยลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก 5 นัดแรกในชีวิตซัดไป 8 ประตู ซึ่งแน่นอนว่างานนี้ ฟาน ไดค์ และ โกเมซ (หรือ ลอฟเรน หากฟิตทัน) คงต้องเจองานหนักในการหยุดความฮอตของ ดาวยิงเลือดนอร์เวย์รายนี้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »