ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » วีคนี้มีแดงเดือด!6 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 23

วีคนี้มีแดงเดือด!6 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 23

Posted 18/01/2020 by siamsport

สุดสัปดาห์นี้ พรีเมียร์ลีก มีคู่น่าสนใจคือเกมแดงเดือดที่จะเล่นในคืนวันอาทิตย์ นอกจากนี้คู่อื่นๆ ก็ยังมีประเด็นก่อนเกมให้เราได้ติดตาม จะมีอะไรกันบ้าง ไปดูกันได้เลย

"วัตฟอร์ด-สเปอร์ส"

 

    วัตฟอร์ด มองหาชัยชนะ 5 นัดจาก 6 เกมภายใต้กุนซือ ไนเจล เพียร์สัน และตอนนี้ทีมก็หลุดจากพื้นที่โซนตกชั้นได้แล้ว ขณะที่ สเปอร์ส หมายจะขยับช่องว่างกับทีมอันดับ 4 อย่าง เชลซี ให้เหลือ 9 คะแนน

    นับตั้งแต่ เพียร์สัน เข้ามาคุมทีม เขาพา แตนอาละวาด เก็บได้ถึง 13 คะแนน หากนับในช่วงเวลาเดียวกัน มีแค่ ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ เท่านั้นที่เก็บแต้มได้มากกว่า(15 คะแนน)

    ในขณะที่ เดอะ ฮอร์เน็ตส์ ทำผลงานได้ดี ฟอร์มของ ทรอย ดีนี่ย์ ก็ฮอตตามเช่นกัน เมื่อ กัปตันแตน ยิงได้ 4 ประตูจาก 5 เกมในลีกหลังสุด ซึ่งยอดประตูเทียบเท่ากับ 20 นัดก่อนหน้านั้น

    โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นกุนซือคนสุดท้ายที่บุกเอาชนะถึงบ้านตอนที่ เพียร์สัน คุมทีมในพรีเมียร์ลีก เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ปี 20015 ที่พา เชลซี บุกชนะ เลสเตอร์

    เดเล่ อัลลี ยิง วัตฟอร์ด ได้ 5 ประตูจาก 8 เกมที่เจอกัน ซึ่งเป็นทีมที่เจ้าตัวซัดได้มากที่สุดแล้ว

"อาร์เซน่อล-เชฟฯ ยูไนเต็ด"

 

    อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า หวังจะเอาชนะเกมในบ้านเป็นเกมที่สองติดต่อกัน ด้าน เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ก็หมายจะเอาชนะ ปืนใหญ่ สองนัดติด

    นับตั้งแต่ออกไปแพ้ต่อ เวสต์บรอมวิช เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 อาร์เซน่อล ก็ไม่แพ้ใครเลยอีก 21 นัดยามที่ได้ลงเตะในวันเสาร์ ตอนเวลา 3 โมง ตามเวลาท้องถิ่น ส่วนความพ่ายแพ้ในบ้านต้องย้อนไปตอนเดือนสิงหาคม ปี 2013 ต่อ แอสตัน วิลล่า

    เดอะ กันเนอร์ส เล่นในบ้านปีนี้ไม่ดีเท่าไหร่ เมื่อ 7 เกมหลัง ชนะได้แค่ นัดเดียวเท่านั้น ซึ่งชัยชนะนั้นมาจากเกมล่าสุด ต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด

    ทีมดาบคู่ มองหาชัยชนะ เหย้า-เยือน ต่อ อาร์เซน่อล ให้ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซั่น 1946/47 และหากทำได้จริงๆ พวกเขาก็จะเป็นทีมน้องใหม่ทีมแรกนับตั้งแต่ แบล็คเบิร์น ทำไว้เมื่อซีซั่น 1992/93 ที่สามารถเอาชนะ อาร์เซน่อล ได้สองแมตช์ในพรีเมียร์ลีก

    จอห์น เฟล็ค มีส่วนร่วมกับประตูไปแล้ว 4 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ ซึ่งจำนวนนั้นมาจากเกมในบ้านเท่านั้น เขาไม่เคยทำทั้งสองอย่างได้เลยในการออกเล่นทีมเยือน

"แมนฯ ซิตี้-คริสตัล พาเลซ"

    ทั้งสองทีมต่างมีฟอร์มที่ดีทั้งคู่ แมนฯ ซิตี้ ชนะมา 3 เกมติด ส่วน คริสตัล พาเลซ ไม่แพ้ใครมา 4 เกมเข้าให้แล้ว

    เควิน เดอ บรอยน์ มีส่วนร่วมกับประตู 8 ลูกจาก 8 เกมหลังสุดที่เจอกับ คริสตัล พาเลซ โดยยิงได้ 2 ประตู และแอสซิสต์อีก 6 ครั้ง

 

    เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะเป็นกุนซือเรือใบสีฟ้าคนที่ 5 ที่ได้คุมแข่งในวันที่ตรงกับวันเกิดของตัวเอง ซึ่งก่อนหน้าเขา 4 คนนั้น ไม่มีใครพาทีมเก็บชัยชนะได้เลย ไล่ตั้งแต่ ไบรอัน ฮอร์ตัน(1995), โจ รอยล์(2001), มาร์ค ฮิวจ์ส(2009) และ โรแบร์โต้ มันชินี่(2011 และ 2012)

    หลังจากที่บุกชนะถึงถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม 3-2 เมื่อครั้งล่าสุดที่เตะที่นี่ คริสตัล พาเลซ ก็มองหาชัยชนะไป-กลับต่อ แมนฯ ซิตี้ เป็นครั้งแรก

    ปราสาทเรือนแก้ว มีโอกาสที่จะเป็นทีมที่ 3 ที่สามารถบุกเอาชนะทีมแชมป์เก่าได้ 2 ปีติด ซึ่งก่อนหน้านี้มี ลิเวอร์พูล 2000/01 และ 2001/02, สเปอร์ส 2016/17 และ 2017/18

"นิวคาสเซิล-เชลซี"

    นิวคาสเซิล ทีมอันดับ 13 ไม่ชนะใครมา 4 เกมติดต่อกัน ด้าน เชลซี วางเป้าหมายรักษาพื้นที่ท็อปโฟร์ให้ได้อย่างมั่นคง โดยไม่แพ้ใครเกมเยือนมาแล้ว 11 เกมติด

    สตีฟ บรู๊ช กุนซือเจ้าถิ่น ทำทีมเอาชนะ เชลซี ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นจากตลอด 22 เกมที่เจอกับ สิงห์บลูส์ (เสมอ 5 แพ้ 16)

    มิเกล อัลมิรอน ยิงได้สองประตูจากโอกาสยิงตรงกรอบสองครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้เป้าสะอาดมาตลอด 15 ครั้งในพรีเมียร์ลีก

 

    เชลซี หวังจะบุกเอาชนะที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ให้ได้สองปีติดต่อกัน นับตั้งแต่ที่เคยทำได้ตอนฤดูกาล 2007/08 และ 2008/09

    ชัยชนะเหนือ นิวคาสเซิล ในพรีเมียร์ลีก 25 ครั้งของ เชลซี เป็นรองแค่ สเปอร์ส ทีเดียวเท่านั้นที่ เชลซี ชนะได้มากกว่า (29 ครั้ง)

"เบิร์นลี่ย์-เลสเตอร์"

    เบิร์นลี่ย์ แพ้มาแล้ว 4 เกมติดต่อกัน ขณะที่ เลสเตอร์ หวังจะเก็บชัยเกมเยือนให้ได้เป็นนัดที่ 3 ติดต่อกัน

    เจ้าถิ่น เป็นทีมที่ไม่เสมอใครนานที่สุดในพรีเมียร์ลีก หลังจากชนะ 5 และแพ้ 10 เกมจาก 15 เกมหลังสุด ส่วนการเล่นที่ เทิร์ฟ มัวร์ สนามเหย้าตัวเองนั้น ผ่านไปแล้ว 18 นัดก็ยังไม่เสมอใคร

    เลสเตอร์ หมายจะเก็บชัยชนะเหย้า-เยือนต่อ เบิร์นลี่ย์ ให้ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซั่น 2012/13 ซึ่งตอนนั้นทั้งคู่เล่นอยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ และยังมีโอกาสที่จะชนะ เบิร์นลี่ย์ สามเกมซ้อนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 1906

 

    ทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ชนะเกมเยือนในพรีเมียร์ลีก 7 นัดในซีซั่นนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากสุดรองจากที่เคยทำไว้ 9 นัดเมื่อฤดูกาล 1965/66 และ 2015/2016

    มีเพียง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เท่านั้น(27 ครั้ง) ที่สร้างสรรค์โอกาสจากลูกตั้งเตะมากที่สุดเหนือ เจมส์ แมดดิสัน ในซีซั่นนี้ (25) อย่างไรก็ตาม เบิร์นลี่ย์ เป็นทีมที่เสียประตูจากลูกเซตพีซน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเสียไปแค่ 2 ครั้งเท่านั้น (รวมจุดโทษด้วย)

"ลิเวอร์พูล-แมนฯ ยูไนเต็ด"

    "จ่าฝูง" ลิเวอร์พูล หวังจะชนะเป็นเกมที่ 12 ติดต่อกัน ทว่าคู่ต่อสู้ในเกมนี้คือทีมเดียวที่แบ่งคะแนนจากพวกเขาได้ในพรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้

 

    นี่เป็นครั้งแรกที่ ลิเวอร์พูล จะลงสนามเปิดบ้านต้อนรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฐานะที่ตัวเองเป็นทีมอันดับ 1 ของตาราง นับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 1990 โดยเกมนั้น หงส์แดง เอาชนะ ปีศาจแดง ไปได้ 4-0 ภายใต้การคุมทีมของ เคนนี่ ดัลกลิช

    ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในลีกมาแล้ว 38 เกมติดต่อกัน ซึ่งเป็นสถิติดีที่สุดอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก อย่างไรก็ดี สองทีมที่มีสถิติที่ดีที่สุดทั้ง อาร์เซน่อล (49 นัด) และ เชลซี (40 นัด) ต่างถูกหยุดตัวเลขนั้นโดย แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงกระนั้นสองแมตช์นี้เกิดขึ้นที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด

 

    นับตั้งแต่แพ้ต่อ ลิเวอร์พูล ทั้งสองเกมในซีซั่น 2013/2014 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็แพ้ หงส์แดง แค่เกมเดียวเท่านั้น จากการเจอกัน 11 ครั้งหลัง ในพรีเมียร์ลีก (ชนะ 5 เสมอ 5)

    ไม่มีผู้เล่นคนไหนอีกแล้วที่ยิงประตูแรกได้มากกว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด(6) อีกทั้งเขายังเป็นผู้เล่นที่ยิงประตูตัดสินเกมได้ถึง 5 ครั้งในปีนี้ มีแค่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คนเดียวที่ทำได้มากกว่า (6)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »