ซิเมโอเน่ทำการบ้านมาดี ! เจาะ 5 ข้อ ลิเวอร์พูล บุกแพ้ แอต.มาดริด
Posted 19/02/2020 by siamsport
แมตช์นี้ต้องยอมรับว่า ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ กุนซือ "ตราหมี" ทำการบ้านมาดีเยี่ยม เมื่อวางหมากให้ทีมเปิดเกมบุกตั้งแต่ต้นเกมเพื่อหวังได้ประตูขึ้นนำ และก็ทำสำเร็จตามเป้าหมาย จากนั้นพวกเขาก็หันกลับมาเล่นเกมถนัดนั่นก็คือการตั้งรับเหนียวแน่น พร้อมรอจังหวะสวนกลับเป็นระยะๆ
งานนี้ทุกๆ คนต้องซูฮกเกมรับเจ้าบ้านที่เล่นได้อย่างมีระเบียบวินัย โดยปล่อยให้แชมป์เก่าครองเกมได้เต็มที่ แต่พวกเขาก็ทำได้แค่ต่อบอลไปมา และเล่นบอลยาว แต่ไม่เป็นผล เพราะแนวรับของแอต.มาดริด เล่นกันได้อย่างแข็งแกร่งไม่มีหยุดตำแหน่ง
สำหรับตอนนี้สาวก "เดอะ ค็อป" คงต้องหวังพึ่งมนต์ขลังแอนฟิลด์ ในการทำลายกำแพงหิน "ตราหมี" ให้แตกกระจุด เหมือนที่เคยทำได้มาแล้วในแมตช์พลิกนรกชนะ บาร์เซโลน่า รอบตัดเชือก ถ้วยใบโตยุโรป ซีซั่นที่ผ่านมา
1. กำแพงตราหมี
เป็นไปตามคาดว่า แอตเลติโก มาดริด เปิดฉากเดินเครื่องใส่เต็มสูบเพื่อหวังทำประตูให้เร็วที่สุด และก็เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ แม้ว่าประตูขึ้นนำอาจจะมีโชคอยู่บ้างเพราะจังหวะที่เจ้าบ้านได้ประตูนำมาจากลูกเตะมุมซึ่งบอลมาโดน ฟาบินโญ่ กระฉอกไปถึง ซาอูล ญิเกซ ที่ไม่ปล่อยโอกาสทองหลุดลอยตะบันเข้าประตูเรียบร้อย
หลังจากได้ประตูที่ต้องการ งานนี้ "ตราหมี" ก็เล่นเข้าระบบถนัดนั่นก็คือการตั้งรับที่เหนียวแน่นซึ่งนี่เป็นจุดขายของเจ้าบ้าน และเป็นแท็คติกที่ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ถนัด โดยงานนี้เห็นได้ชัดว่า "หงส์แดง" ทำอะไรไม่ได้เลย แม้จะครองเกมได้เหนือกว่าแต่ไม่มีจังหวะยิงตรงกรอบแม้ตั้งเดียว
ผลงานชั้นยอดในครั้งนี้ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับ ซิเมโอเน่ ที่ทำการบ้านมาดี รู้วิธีจัดการจุดเด่นของลิเวอร์พูล นั่นก็คือการเปิดบอลจากด้านข้างซึ่งเกมนี้ แอต.มาดริด ปล่อยให้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้โยนหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เกิดประโยชน์ เพราะแนวรับไปยืนคุมพื้นที่ในกรอบเขตโทษกันหมด และนักเตะทุกคนก็รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยม
แม้เจ้าบ้านจะวางหมากเน้นเล่นเกมรับเหนียวแน่น แต่ในจังหวะที่มีโอกาสเปิดเกมบุก ก็พยายามเล่นเร็ว โดยเฉพาะตอนที่ได้ลูกฟรีคิก จะเห็นได้ว่าในหลายๆ ครั้งพวกเขาเล่นเร็วจนทำให้แนวรับของแชมป์เก่าตั้งตัวไม่ได้ งานนี้สาวก "เดอะ ค็อป" ต้องยอมรับว่าพวกเขาแพ้ 0-1 ถือว่าดี เพราะเจ้าบ้านมีโอกาสยิงเพิ่ม แต่พลาดกันเอง
2. เกมรุกตื้อ
คล็อปป์ วางหมากแบบเดิมนั่นก็คือการเล่นระบบ 4-3-3 ด้วยการใช้ ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่งานนี้ ซิเมโอเน่ วางหมากแก้เกมมาด้วยเช่นกัน โดยใช้เกมรับ 4 ตัว และแทบไม่ขึ้นมาเติมเกม ทำให้สามประสาน "หินเหล็กไฟ" ไม่มีพื้นเพื่อใช้ความเร็วฉีกหนีคู่แข่ง
ขณะที่แดนกลางแน่นอนว่า ฟาบิโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม พยายามครองบอล และผ่านบอลไปมาบ้างครั้งก็ส่งบอลเข้ากลาง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเกมรับของเจ้าบ้านได้เลย ขณะที่การโยนยาวก็ไม่ค่อยแม่นยำ ทำให้ไม่สามารถกดดันกองหลัง "ตราหมี" ได้เลย
ในครึ่งหลัง คล็อปป์ พยายามหามิติใหม่ในเกมรุกด้วยการถอด มาเน่ ออกซึ่งอาจเป็นเพราะนักเตะโดนใบเหลืองด้วยทำให้ต้องเซฟเอาไว้ก่อน และส่ง ดิว็อค โอริกี้ ลงมาแทน แต่ ดาวยิงชาวเบลเยียม ไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้เลย เช่นเดียวกับการส่ง อเล็กซ์ อ็อดซ์เลด-แชมเบอร์เลน มาแทน ซาลาห์ ก็ทำอะไรไม่ได้เลย
ส่วนกรณีที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องก็คืออาการบาดเจ็บของ เฮนเดอร์สัน ในช่วงท้าย ทำให้ คล็อปป์ จำเป็นต้องส่ง เจมส์ มิลเนอร์ ลงมาแทน งานนี้เหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" คงต้องลุ้นอย่าให้กัปตัน "เฮนโด้" เจ็บหนักเด็ดขาด เพราะอาจจะส่งผลกระทบกับเกมในพรีเมียร์ลีก และเกมนัด 2 รับมือ แอต.มาดริด
ที่สำคัญ ลิเวอร์พูล มีสถิติที่ย่ำแย่สุดๆ ในเกมที่ ว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่ โดยพวกเขายิงไม่ตรงกรอบเลยเป็นครั้งแรกจากการเล่นในทุกรายการนับตั้งแต่แมตช์แพ้ นาโปลี ที่สนามซาน เปาโล เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2018
3. ซาอูล ตัวนำโชค
ซาอูล ญิเกซ ซึ่งก่อนหน้าที่เกมนี้จะเปิดฉากดวลกันเจ้าตัวออกมายอมรับว่าเป็นแฟนบอล ลิเวอร์พูล และมักจะดูการเล่นของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นประจำ โดยเจ้าตัวจัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายตั้งแต่ 4 นาทีแรก ทำให้ทีมสร้างความได้เปรียบในเกมแรก
จริงๆ แล้วเกมนี้หลายคนชู "หงส์แดง" เหนือกว่าเพราะผลงานในฤดูกาลนี้โดดเด่นเหลือเกิน สวนทางกับ แอต.มาดริด ที่เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานในลา ลีกา ซีซั่นนี้ แต่เมื่อพวกเขาลงแข่งในแชมเปี้ยนส์ ลีก ทุกอย่างกลับตาลปัตร ทีมเล่นได้แข็งแกร่ง และทีมมีลุ้นที่จะทะลุเข้ารอบต่อไปซะด้วย
ประตูชัยในเกมนี้ทำให้ ซาอูล ซัดให้กับ "ตราหมี" ไปแล้ว 5 ประตูให้กับต้นสังกัดในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบน็อกเอาต์ เป็นรองเพียงแค่ อองตวน กรีซมันน์ อดีตสตาร์แอตเลติโก มาดริด ที่ปัจจุบันย้ายไปไล่ล่าตาข่ายให้กับ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า เพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น แอต. มาดริด มีสถิติดีเยี่ยมโดยพวกเขาไม่แพ้ใครเลย 36 เกม (ชนะ 34 เสมอ 2) ในทุกรายการหาก ซาอูล ยิงประตูได้ งานนี้สาวก "ตราหมี" คงตั้งความหวังให้เจ้าตัวยิงประตูที่แอนฟิลด์ เพื่อจะได้สร้างโอกาสในการเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ
4. เกมเยือนแชมเปี้ยนส์ ลีก ลิเวอร์พูล ไม่คอยดี
แม้ว่าการพ่ายแพ้ในเกมนี้จะเป็นเกมที่ 2 ของลิเวอร์พูลชุดใหญ่จากการลงแข่งทุกรายการในฤดูกาลนี้ก็ตาม แต่ทั้งสองแมตช์เกิดขึ้นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเป็นแมตช์เยือนในเกมฟุตบอลถ้วยยุโรปซะด้วย ต้องบอกว่านี่เป็นจุดอ่อนของ "หงส์แดง" จริงๆ
ขณะเดียวกันเมื่อย้อนมองดูสถิติการเล่นเกมเยือนในถ้วยใบโตยุโรป ลิเวอร์พูล แพ้ 7 จาก 11 เกมหลังสุดในแชมเปี้ยนส์ ลีก และนี่เป็นอีกครั้งที่พวกเขาไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลยในบุกถิ่นของคู่แข่ง ที่สำคัญตอนนี้คงต้องอาศัยความได้เปรียบในแอนฟิลด์ อีกครั้ง
แม้ว่าแมตช์นี้เกมนี้ "เดอะ เร้ดส์" จะครองเกมได้ถึง 70 เปอร์เซนต์ แต่พวกเขาไม่สามารถยิงเข้ากรอบได้เลยซักครั้งเดียว งานนี้ต้องชื่นชมเกมรับของเจ้าบ้านที่วางหมากมาจัดการเกมรุกของแชมป์เก่าได้อยู่หมัด ในขณะที่เกมรุก "ตราหมี" เฉียบคมสุดๆ มีจังหวะยิงเข้ากรอบ 2 ครั้ง และได้ 1 ประตูแถมเป็นประตูชัยซะด้วย
5. เจอกันที่แอนฟิลด์
ความรู้สึกของเหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" ในตอนนี้แม้จะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ในใจลึกๆ ยังเชื่อมั่นว่าเกม 2 ที่สนามแอนฟิลด์ พลังเชียร์จากผู้เล่นหมายเลข 12 และมนต์ขลังในสนามจะสร้างความได้เปรียบให้กับเจ้าบ้าน รวมทั้งทำให้ผู้มาเยือนต้องขาสั่นเหมือนที่ บาร์เซโลน่า โดนมาแล้วเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา
สำหรับสถานการณ์ในเวลานี้ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล ยังไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤติมากนัก เพราะพวกเขาแพ้ แอต.มาดริด เพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น ต่างจากในแมตช์รับมือ "เจ้าบุญทุ่ม" ที่เสียเปรียบบานเบอะตามหลังสามประตู ก่อนจะเกิดค่ำคืนมหัศจรรย์ในตอนนั้น
แน่นอนว่าการที่จะพูดแบบนั้นอาจจะเหมือนการรื้อฟื้นอดีตเพื่อมาคุยข่ม หรือเอาไว้ปลอบใจ ก็แล้วแต่ใครจะคิด อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันดีว่า แอนฟิลด์ คือสนามที่ทำให้ทีมเยือนต้องขยาดมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะเสียงกระตุ้นจากแฟนบอล "หงส์แดง" ที่ทำให้อาคันตุกะต้องขาสั่นแน่นอน
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะถึงเกมรับมือ แอต.มาดริด พวกเขามีคิวต้องลงเล่นพบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, วัตฟอร์ด, เชลซี (เอฟเอ คัพ) และ บอร์นมัธ โดยเกมเหล่านี้ "หงส์แดง" จำเป็นเอาชนะให้ได้เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจก่อนจะดวลกับทีมของกุนซือดีเอโก้ ซิเมโอเน่
"พวกเราทุกคนจะพร้อม ยินดีต้อนรับสู่แอนฟิลด์ เกมมันยังไม่จบ" ประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความของ คล็อปป์ หลังจบเกมที่สนาม ว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เปิดผลวิเคราะห์ทีมไหนมีโอกาสแชมป์ชปล.มากสุด
เปิดผลวิเคราะห์ของพ่อมดแห่งการคำนวณ ทีมไหนมีโอกาสคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มากสุด และทั้ง 16 สโมสรมีเปอร์เซ็นต์จะไปได้ไกลแค่ไหนเฉยๆนะ!คล็อปป์ไม่เครียดลิเวอร์พูลพ่ายแอตมาดริด
เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ไม่เครียดแม้บุกพ่าย แอตเลติโก มาดริด 0-1 ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกแรก แต่ลั่นเจอกันเลกสองที่ แอนฟิลด์ ด้าน เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ชี้ "ตราหมี" ได้ประตูชัยเพราะโชคช่วยซาอูลซัดชัยแต่ไก่โห่! ลิเวอร์พูลเจาะไม่เข้าบุกพ่ายแอตมาดริด ชปล.16ทีมนัดแรก
ซาอูล ญิเกซ กลายเป็นฮีโร่ของ "ตราหมี" หลังซัดประตูชัยตั้งแต่ 4 นาทีแรกก่อนพา แอตเลติโก มาดริด บดเอาชนะแชมป์เก่า ลิเวอร์พูล แบบหวุดหวิด 1-0 ทำให้ "หงส์แดง" ต้องไปลุ้นเข้ารอบในนัดที่สองที่แอนฟิลด์ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา สนาม : ว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่ลิเวอร์พูลจัดหนัก! 'มาเน่' ผนึก 3 หน้าฟัดถิ่นแอต.มาดริด16ทีม ชปล.
"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เตรียมจัดทัพเต็มอัตราศึก โดย ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ พร้อมประสานคมแข้งปิดสกอร์เกมพบ "ตราหมี" แอต.มาดริด ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก) วันอังคารที่ 18 ก.พ. ศกนี้ (เวลา : 03.00 น.)
TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน
วิเคราะห์บอล ทีมชาติไทย ยู-23 พบ ทาจิกิสถาน ยู-23 วันจันทร์ที่ 22 เม.ย.67
กุนซือทาจิกิสถาน ประกาศลาออกหลังชนะ ทีมชาติไทย U23 ส่งท้าย
4 แชมป์ไม่เกินเอื้อม! หลุยส์ เอ็นรีเก้ ฟุ้งพา เปแอสเช กวาดเรียบทุกโทรฟี่
เอลเคสัน เทวดาขาลงทีมชาติจีน
แบนนัดชิงเอฟเอคัพไหม?สื่อเฉลยหลัง อ็องเดร โอนาน่า คว้าสองเหลืองรอบตัดเชือก
อัลบั้มภาพเด็ดๆ
ฮาน่า ฮาอึน ชอง ดาว TikTok สาวสว...
นาฟ ฉัฐนันท์ ปล่อยแซ่บท้าลมหนาว ...
เต็มที่แล้ว! ไทย พ่าย อุซเบกิสถา...
ตัดเกรด นักเตะไทย เกมเสมอ โอมาน ...
"ศุภชัย" ซัดเบิ้ล! ไทย ทุบ คีร์ก...
โดนรัวครึ่งหลัง! ไทย บุกพ่าย ญี่...
คลิปไฮไลท์