ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » บรูโน่ของจริง! เจาะ 5 ประเด็น แมนยูยำใหญ่วัตฟอร์ด

บรูโน่ของจริง! เจาะ 5 ประเด็น แมนยูยำใหญ่วัตฟอร์ด

Posted 24/02/2020 by siamsport



บรูโน่ แฟร์นันด์ส จอมทัพเลือดฝอยทอง เริ่มฉายแสงความเป็นยอดนักเตะมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเกมล่าสุดทั้งยิงทั้งจ่ายช่วย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถลุง วัตฟอร์ด 3-0 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับ 5 เรียบร้อยแล้ว
    แมตช์นี้ ดาวเตะทีมชาติโปรตุเกส ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นตั้งแต่ต้นเกม ก่อนจะยิงประตูแรกภายใต้สีเสื้อ "ผีแดง" จากการสังหารจุดโทษ ซึ่งเขาก็เป็นคนเรียกจุดโทษให้ทีมซะด้วย ขณะเดียวกันในครึ่งหลังก็โชว์ทักษะเปิดบอลอย่างแม่นยำให้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ได้โหม่งในเขตโทษ แต่กองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกดันโหม่งออกซะงั้น

    ขณะเดียวกันเกมรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มลงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมี แม็กไกวร์ เป็นตัวหลักในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก และมีการสลับกันเล่นระหว่าง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ กับ เอริค ไบยี่ โดยเกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เลือก ดาวเตะชาวสวีดิช เล่นคู่กับ "บิ๊กแม็ค" และก็ทำหน้าที่ได้ดี ช่วยทีมเก็บคลีนชีตในลีกเป็นแมตช์ที่ 3 ติดต่อกัน

    แน่นอนว่าชัยชนะในแมตช์นี้ทำให้โอกาสลุ้นทำอันดับขึ้นไปอยู่ท็อปโฟร์มีมากขึ้นเรื่อย โดย แมนฯ ยูไนเต็ด มีคะแนนตามหลัง เชลซี เพียงแค่ 3 แต้มเท่านั้น และงานนี้หาก "สิงห์บลูส์" เกิดสะดุดเกมใดเกมหนึ่ง งานนี้มีสิทธิ์โดน "เร้ด เดวิลส์" แซงป้าดหน้าเข้าไปอันดับ 4 ก็ได้

 

 

1. แฟร์นันด์ส เติมเต็มแมนฯ ยูไนเต็ด
    ตอนนี้สาวก "เร้ด อาร์มี่" คงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากเห็น บรูโน่ แฟร์นันด์ส ค่อยๆ ฉายแววเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังทัพ "ปีศาจแดง" มากขึ้นเรื่อยๆ โดยตอนนี้ต้องยอมรับว่าฟอร์มการเล่นของนักเตะมีทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ และยิ่งเล่นยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆ

    ดาวเตะชาวโปรตุกีส ทำหน้าที่เป็นมิดฟิลด์จอมสร้างสรรค์เกมได้ดีไม่มีที่ติ โดยเจ้าตัวเล่นเกมรุกได้ดุดัน และยังเคลื่อนที่หาตำแหน่งได้ดีเยี่ยม ที่สำคัญเจ้าตัวมีส่วนช่วยทำให้ทีมได้จุดโทษ และยังขันอาสารับหน้าที่สังหารช่วยให้ต้นสังกัดปลดล็อกได้สำเร็จ

 


 

    นอกจากนี้ในครึ่งหลัง แฟร์นันด์ส ยังคงสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับ วัตฟอร์ด ได้ตลอด ก่อนจะจัดการทำแอสซิสต์ ให้เมสัน กรีนวู้ด ซัดประตูตอกฝาโลง โดยแนวทางการเล่นของ จอมทัพทีมชาติโปรตุเกส เป็นสิ่งที่ทัพ "เร้ด เดวิลส์" ขาดหายไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    ก่อนหน้าที่ แฟร์นันด์ส จะย้ายมาเล่นในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาตะบันตาข่ายคู่แข่งไปถึง 48 ประตูตอนที่เล่นให้ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ตั้งแต่ต้นฤดูกาลที่ผ่านมาจนกระทั่งย้ายทีม  และตอนนี้แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงหวังว่าประตูแรกที่ทำให้กับทีมในเกมนี้ จะเป็นการจุดประกายความสุดยอดของเขา เหมือนที่เล่นให้กับทีมเก่าในลีกฝอยทอง

 

 

2. แนวรับพัฒนาหลังเก็บ คลีนชีต 3 เกมติดต่อกัน
    แนวรุกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดดเด่นมากๆ ในช่วงที่ผ่านมา แต่แนวรับของ "ปีศาจแดง" ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันโดยพวกเขาสามารถเก็บคลีนชีตได้อีกแมตช์ ซึ่งทำให้ตอนนี้พวกเขารักษาผลงานไม่เสียประตูในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 3 แมตช์ติดต่อกัน 

    ผลงานชั้นยอดในช่วงที่ผ่านมาต้องยกเครดิตให้กับเกมรับที่มีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ ฟอร์มของผู้เล่นฟูลแบ็กก็ยอดเยี่ยม โดยการใช้แนวรับ 4 ตัวช่วยทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นได้เหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าช่วง 3 เกมที่ผ่านมา โซลชา เลือกใช้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เป็นตัวหลัก และให้ เอริค ไบยี่ กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ สลับกันยืนคู่ ซึ่งพวกเขาทำผลงานได้สุดยอดมากๆ

 


 

    ขณะที่ตำแหน่งฟูลแบ็กฝั่งขวา อารอน วาน-บิสซาก้า ยึดตำแหน่งถาวร ส่วนฝั่งซ้าย "น้าลูกอม" มักจะสลับใช้งาน ลุค ชอว์ กับ แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ แน่นอนว่าผลงานเกมรับในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะเกมกับ วัตฟอร์ด แสดงให้เห็นถึงระบบการเล่นที่ยอดเยี่ยมมากๆ

    ตอนนี้ต้องยอมรับว่าเกมรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ค่อนข้างลงตัวขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญหากแนวรับเกิดพลาดบางจังหวะ พวกเขาก็ยังอุ่นใจได้เพราะมี ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูทีมชาติสเปน ยืนเป็นปราการด่านสุดท้าย ซึ่งหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็ยากที่จะคู่แข่งจะตะบันบอลผ่านมือเขาไปได้

 

 

3. วาน-บิสซาก้า กับ ชอว์ ยิ่งเล่นยิ่งดี
    นอกจากการมีเซนเตอร์แบ็กที่แข็งแกร่งแล้ว จุดเด่นอีกอย่างที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แสดงให้เห็นก็คือฟูลแบ็กทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะ อารอน วาน-บิสซาก้า ที่พัฒนาการเล่นเกมรุกได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่วนเกมรับไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นเครื่องหมายการค้าของนักเตะรายนี้ไปแล้ว

    โดยเกมนี้ แข้งดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษ เกือบมีโอกาสยิงประตูได้ จากจังหวะที่ แดเนี่ยล เจมส์ เปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้ามาในกรอบเขตโทษ เบน ฟอสเตอร์ ปัดไม่ดีมาเข้าทางเจ้าตัว แต่น่าเสียดายที่เขายิงไม่ถนัดทำให้บอลเข้าข้างตาข่าย แต่สิ่งนี้ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่แสดงให้เห็นว่านักเตะพยายามเติมเกมบุกเพื่อให้ทีมมีทางเลือกที่หลากหลายในการทำประตูมากขึ้น

 


 

    ขณะที่ ชอว์ ต้องบอกทำผลงานได้โดดเด่นมากๆ โดยในเรื่องการเล่นเกมรับเจ้าตัวก็พยายามทำงานหนักมากขึ้น และคอยช่วยเหลือ แม็กไกวร์ กับ ลินเดอเลิฟ ได้ดีเยี่ยม ในส่วนของเกมรุกก็ถือเป็นสิ่งที่นักเตะถนัดมากๆ และเกือบมีชื่อทำสกอร์ได้แต่น่าเสียดายที่ยิงไปตรงตัว ฟอสเตอร์

     งานนี้ โซลชา คงยิ่งแก้มปริเพราะทีมมีตัวเลือกแบ็กซ้ายชั้นดีทั้ง ชอว์ และ วิลเลี่ยมส์ แถมในช่วงท้ายซีซั่น แมนฯ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมหนักทั้งในเวทียุโรป และเกมภายในประเทศ การมีนักเตะฟอร์มดีเอาไว้ใช้งานถือเป็นข้อได้เปรียบสำหรับพวกเขามากๆ

 

 

4. มาร์กซิยาล-กรีดวู้ด ฟอร์มหรู
    อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล โดนวิจารณ์อย่างหนักเรื่องฟอร์มการเล่นในช่วงที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถเป็นหัวหอกที่พึ่งพาได้ในยามที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด อยู่ในช่วงรักษาอาการบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามนักเตะไม่สนใจที่จะออกมาตอบโต้ และเลือกใช้ฝีเท้าในการพิสูจน์ตัวเอง

    ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ อาจจะยิงทิ้งยิงขว้างไปบ้างในช่วงครึ่งแรก แต่ครึ่งหลัง มาร์กซิยาล แสดงให้ทุกๆ คนได้เห็นแล้วว่าเขาเป็นนักเตะชั้นยอด จากจังหวะที่ยิงประตูให้ทีมขึ้นนำ 2-0 เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวเต็มไปด้วยทักษะ และความเยือกเย็น ในหลอกล่อคู่แข่งก่อนชิพบอลข้ามตัว ฟอสเตอร์ เข้าประตูอย่างเหนือชั้น

 


 

    ตอนนี้ โซลชา คงสบายใจได้แล้วว่า มาร์กซิยาล สามารถทดแทน แรชฟอร์ด ได้ดีเลยทีเดียว โดยตอนนี้เขาสามารถซัดประตูไปแล้ว 3 เกมติดต่อกันจากการเล่นทุกรายการ (ยิง เชลซี, คลับ บรูช และ วัตฟอร์ด) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของเจ้าตัวนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2017

    ในส่วนของ เมสัน กรีนวู้ด ได้รับโอกาสจาก โซลชา ให้ลงเล่นตัวจริง และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ความเร็วและความคล่องตัวของเขาป่วนแนวรับ วัตฟอร์ด ได้ตลอด แถมยังยิงประตูสุดสวยตอกฝาโลงทีมเยือน โดยประตูดังกล่าวเป็นลูกที่ 11 จากการเล่นทุกรายการในซีซั่นนี้ ซึ่งมากกว่านักเตะดาวรุ่งคนอื่นๆ ในพรีเมียร์ลีกซะด้วย

 

 

5. หายใจรดต้นคอ เชลซี
    ประเด็นร้อนที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดนยูฟ่าสั่งแบนจากเกมฟุตบอลถ้วยยุโรป อาจจะไม่มีผลอะไรกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะตอนนี้พวกเขาทำคะแนนไล่จี้ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ทีมอันดับ 4 เหลือแค่ 3 คะแนนเท่านั้น ทำให้โอกาสที่จะเบียดแย่งท็อปโฟร์เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น

    แม้ว่าทีมของกุนซือแฟร้งค์ แลมพาร์ด จะยึดอันดับ 4 เอาไว้อย่างเหนียวแน่นหลังจากที่พวกเขาเอาชนะ สเปอร์ส ในเกมลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะในแมตช์นี้ ทำให้พวกเขามีลุ้นที่จะคว้าโควต้าสุดท้ายไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าเช่นกัน

 


 

    แน่นอนว่าตอนนี้เหล่าขุดพล "ปีศาจแดง" มีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม และพร้อมที่จะแย่งชิงท็อปโฟร์มาจาก เชลซี หากพวกเขาเกิดพลาดพลั้งสะดุดขาตัวเอง เหมือนที่เคยสะดุดมาแล้ว 4 เกมรวด ทั้งแพ้ นิวคาสเซิ่ล, เสมอ อาร์เซน่อล กับ เลสเตอร์ และแพ้ แมนฯ ยูฯ ก่อนจะคืนฟอร์มเฉือน "ไก่เดือยทอง"

    ฉะนั้นโปรแกมนับจากนี้เป็นต้นไป ทั้งสองทีมห้ามพลาดเด็ดขาดเพราะหากใครเพลี่ยงพล้ำให้กับคู่แข่ง งานนี้อาจถึงขั้นนำตารินอดได้ตั๋วไปลุยเกมชิงถ้วย "หูกาง" โดยเฉพาะหากเป็น เชลซี คงเจ็บใจสุดๆ เพราะพวกเขาทำแต้มทิ้งห่างทีมอื่นไปหลายคะแนน แต่ดันฟอร์มสะดุด  


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »