ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ยูฟ่า /ยูโรป้าลีก/ยูโรคัพ » ลุ้นมันแน่! 3 สิ่งที่ คล็อปป์ ต้องเปลี่ยนจากเกมแรกเพื่อคว่ำ แอต. มาดริด

ลุ้นมันแน่! 3 สิ่งที่ คล็อปป์ ต้องเปลี่ยนจากเกมแรกเพื่อคว่ำ แอต. มาดริด

Posted 11/03/2020 by siamsport

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมขาวเยอรมันของ ลิเวอร์พูล ไม่เคยแพ้เกมฟุตบอลถ้วยยุโรปเหย้า-เยือน นับตั้งแต่ที่กุมบังเหียน "เดอะ เร้ดส์" และนับตั้งแต่ที่เขามาทำงานในแอนฟิลด์ เจ้าตัวเปลี่ยน "หงส์แดง" กลายเป็นทีมชั้นยอด และกำลังจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายเพราะต้องรับมือ แอตเลติโก มาดริด ซึ่งเอาชนะพวกเขามาได้ในเกมแรก ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย
    "หงส์แดง" ออกไปแพ้ "ตราหมี" 0-1 นั่นทำให้การรับมือทีมของกุนซือดีเอโก้ ซิเมโอเน่ พวกเขาต้องชนะอย่างน้อย 1 ประตูเพื่อให้สกอร์รวมเสมอกัน และเล่นในเกมต่อเวลาพิเศษ แต่หากโดนยิงประตูในบ้าน งานนี้ ลิเวอร์พูล คงต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าหากต้องการอยู่ในเส้นทางป้องกันแชมป์ต่อไป

    สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คล็อปป์ ต้องวางหมากเพื่อจัดการตีป้อมปราการเกมรับของ แอต.มาดริดให้ได้ และพยายามใช้ประโยชน์จากลูกตั้งเตะให้มากที่สุด ในขณะเดียวกันเซนเตอร์แบ็กของทีมก็ต้องเล่นให้มีความแน่นอน และลดการผิดพลาดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 


 

    ฉะนั้นเพื่อโอกาสที่จะผ่านเข้ารอบชิงถ้วยใบโตยุโรป 3 สมัยติดต่อกัน คล็อปป์ และเหล่าพองชนทัพ "หงส์แดง" ต้องงัดฟอร์มเก่งออกมาให้ได้ ซึ่งงานนี้สาวก "เดอะ ค็อป" คงเข้าไปเชียร์กันเต็มสนาม เพราะหวังจะได้เห็นปาฏิหาริย์เหมือนเกมถล่ม บาร์เซโลน่า เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา

 

1. เน้นลูกตั้งเตะให้แม่นยำ
    ก่อนที่จะเสียประตูให้ แอตเลติโก มาดริด จากจังหวะเตะมุม "หงส์แดง" เป็นทีมที่มีสถิติดีเยี่ยมในการป้องกันลูกเซตพีซในเกมลูกหนังประเทศอังกฤษ โดยพวกเขาเสียเพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้นจากทั้งหมด 1,200 นาที หลังจากพวกเขาดันมาเสียประตูตั้งแต่ไก่โห่ให้กับ "ตราหมี" ซึ่งนั่นถือว่าเข้าทางเจ้าบ้านที่หันมาใช้แผนเด็ดเน้นเกมรับเหนียวแน่น และทำให้ ลิเวอร์พูล ทำได้เพียงผ่านบอลไปมาส่งผลให้ยิงไม่เข้าเป้าเลย

    แนวรับของ ลิเวอร์พูล เคยรับมือกับการเล่นลูกเซตพีซได้ดีมาก เช่นเดียวกับ แอตเลติโก มาดคิด โดย "ตราหมี" มีการปฏิรูปเกมรับให้มีความเหนียวแน่นยิ่งขึ้น และนั่นเป็นปัจจัยที่โดดเด่นเมื่อทีมเล่นเกมรับในจังหวะเตะมุมและฟรีคิกบริเวณกรอบเขตโทษได้ดีมากๆ ขณะเดียวกับในฤดูกาลนี้ "เดอะ เร้ดส์" ยังได้ประตูจากการเล่นลูกเตะมุมหลายครั้ง และนี่น่าจะเป็นจุดสำคัญในเกมปะทะกับ แอต. มาดริด วันพุธนี้


 

    งานนี้เจ้าบ้านจำเป็นอย่างยิ่งที่จะยิงให้ได้อย่างน้อย 1 ประตูเพื่อจะได้ต่อเวลาพิเศา และลุ้นผ่านเข้าไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ แต่หาก "หงส์แดง"  พลาดท่าเสียประตูในบ้าน งานนี้บอกเลยว่าคงต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าหากตั้งเป้าที่จะเข้าไปป้องกันแชมป์ "บิ๊กเอียร์" ในซีซั่นนี้   

    แน่นอนว่า คล็อปป์ คงจัดแนวรับโดยให้ โจ โกเมซ ยืนคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก ต้องพยายามที่จะฉกฉวยโอกาสในการทำประตูจากลูกตั้งเตะ และที่สำคัญต้องมีสมาธิในการรับมือกับลูกเซตพีซด้วยเช่นกัน ขณะที่คู่เซนเตอร์แบ็กของทีมเยือนอย่าง สเตฟาน ซาวิช กับ เฟลิเป้ ก็ต้องทำผลงานให้ดีทั้งเกมรับ-เกมรุก ตลอดทั้งแมตช์นี้

    คงเป็นเรื่องยากที่จะเห็น แอต.มาดริดได้ประตูจากลูกโอเพ่นเพลย์ที่แอนฟิลด์ เนื่องจากสไตล์การเล่นของพวกเขาเน้นเกมรับเป็นหลัก ส่วน ลิเวอร์พูล มักจะทำผลงานได้ดีมากๆ ในการเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปในรังของตัวเอง ฉะนั้นเกมนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะตัดสินกันในจังหวะเตะมุม และลูกฟรีคิก
 


2.  พยายามเล่นบอลยาว และแผงมิดฟิลด์ต้องผ่านบอลเร็ว 
    เชื่อหรือไม่ว่า ลิเวอร์พูล มีสถิติที่แย่กมากๆ ในการเล่นเกมเยือนฟุตบอลถ้วยยุโรป ในยุค คล็อปป์ กุมบังเหียน แม้ว่าพวกเขาจะทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ครั้งติดต่อกัน แต่ "เดอะ เร้ดส์" มีปัญหาอย่างมากในการออกไปเล่นนอกบ้านเวลาที่ปะทะกับทีมใหญ่ทั้ง บาร์เซโลน่า, โรม่า, นาโปลี และ แอต.มาดริด 

    หลายคนมักตำหนิ กุนซือชาวเยอรมัน ว่า เลือกผู้เล่นแผงมิดฟิลด์ที่เน้นครองเกมในแมตช์เหล่านั้น และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ว่าทำไมทัพ "เดอะ เร้ดส์" ถึงทำผลงานได้น่าผิดหวังเวลาที่ออกไปเยือน ซึ่งนี่คือสิ่งจำเป็นที่ คล็อปป์ จำเป็นต้องแก้ไข

    ในเกมแรก  ลิเวอร์พูล ครองบอลได้ถึง 70 เปอร์เซนต์ และผ่านบอลได้มากกว่าเจ้าบ้านถึง 3 เท่า แต่พวกเขากับไม่มีปัญหายิงบอลให้เข้าเป้าเลย ส่วนหนึ่งที่ผลการแข่งขันไม่เข้าทางมาจากแผงมิดฟิลด์ที่เล่นกันช้า ไม่แน่นอน และขาดการผ่านบอลเข้าไปในพื้นที่สุดท้าย ซึ่งทำให้ 3 ประสาน "หินเหล็กไฟ" ไม่มีโอาสกยิงประตูจะๆ เลย

 

ลุ้นมันแน่! 3 สิ่งที่ คล็อปป์ ต้องเปลี่ยนจากเกมแรกเพื่อคว่ำ แอต. มาดริด

    แน่นอนว่าปัจจัยหลักที่ทำให้ "เดอะ เร้ดส์" แพ้ในเกมดังกล่าว มาจากการที่พวกเขาไม่สามารถสร้างสรรค์เกมจาก 3 แข้งแดนกลางได้แก่ ฟาบินโญ่, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งได้รับบาดเจ็บในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ทำให้ต้องส่ง เจมส์ มิลเนอร์ ลงมาแทน อย่างไรก็ตามเกมที่แอนฟิลด์ กัปตันเฮนโด้ น่าจะได้มีส่วนร่วมแมตช์นี้

    ตอนนี้สิ่งที่ คล็อปป์ ต้องการก็คือกองกลางที่สามารถสร้างสรรค์เกม และผ่านบอลเร็วเข้าไปในพื้นที่ว่าง เพราะการเคลื่อนที่และส่งบอลช้าย่อมไม่เกิดประโยชน์ในการสู้กับทีมที่เล่นเกมรับเหนียวแน่น และตั้งรับลึกแบบทีมของกุนซือดีเอโก้ ซิเมโอเน่

    เฮนเดอร์สัน ทำผลงานได้ดีมากๆ ในฐานะโฮลดิ้ง มิดฟิลด์ในยามที่ ฟาบินโญ่ ขาดหายไป และงานนี้ คล็อปป์ ต้องตัดสินใจใช้กองกลางที่ผ่านบอลเร็ว และเน้นการโยนบอลยาวในสถานกรณ์จำเป็นต้องทำประตู ขณะเดียวกัน นาบี เกอิต้า ก็เป็นอีกทางเลือก เพราะเขาเป็นนักเตะที่สร้างโอกาสได้ดีจากการเลี้ยงบอลเร็ว และทักษะในการผ่านบอลที่แม่นยำ

    แมตช์นี้มีความเป็นไปได้ว่าแผงกองกลางจะตัดสินเกม และ ลิเวอร์พูล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องครองบอลให้เยอะ เพื่อสร้างโอกาสในการทำประตู

 

3. การผสมผสานเกมรุกของฟูลแบ็กกับสามประสาน
    ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับเลยที่โอกาสในการทำประตูของ ลิเวอร์พูล มาจากการเล่นสวนกลับ และส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเติมเกมบุกจากสองฟูลแบ็กในการสร้างโอกาสทำประตู โดย เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คือคู่ฟูลแบ็กที่ดีที่สุดในโลกนับตั้งแต่เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา แต่ในเกมที่กรุงมาดริด ผลงานของพวกเขาจอดไม่เป็นท่า

    ส่วนแนวรุก คล็อปป์ ยังคงไว้วางใจ 3 ประสาน "หินเหล็กไฟ" ได้แก่ ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เพราะพวกเขาสร้างโอกาสทำประตูให้กับทีมได้มากมาย แต่น่าเสียดายเกมนัดแรก "เอสเอ็มเอฟ" เล่นไม่ออก และแทบทำอะไรไม่ได้เลยในพื้นที่สุดท้ายเมื่อเจอเกมรับของ แอต.มาดริด ที่ไม่เปิดช่องว่างให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพ

 


 

    ซิเมโอเน่ เป็นโค้ชที่ฉลาด และเขาทำให้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ โรเบิร์ตสัน ต้องเล่นอย่างอึดอัดในพื้นที่ทางกราบ ส่งผลให้ทั้งสองคนไม่สามารถผ่านบอลที่เฉียบคมเข้าไปในกรอบเขตโทษได้เลย ซึ่งนั่นทำให้เกมรุก "เดอะ เร้ดส์" ฝืดสนิท

    งานนี้กุนซือเลือดด๊อยท์ช จะต้องพยายามติวเข้ม "หนูเทรนต์" และกัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ พยายามที่จะเปิดบอลเข้าไปในพื้นที่เป้าหมายให้ได้ ขณะเดียวกัน 3 เกมรุกก็ต้องพยายามวิ่งสับเปลี่ยนตำแหน่ง และหาพื้นที่ว่างเพื่อจะได้เปิดทางเพื่อนร่วมทีมผ่านบอลให้พวกเขาได้ยิงประตู

    ฉะนั้น มาเน่, ฟีร์มีโน่ และ ซาลาห์ ต้องใช้ความเร็ว, การลากเลี้ยงบอล  และการยื่นตำแหน่งให้ดี  เพื่อให้สองฟูลแบ็กได้มีโอกาสเปิดบอลสวยๆ ให้กับทั้ง 3 คน งานนี้หากฟูลแบ็กของทีมโดนตัดออกจากเกมหรือเล่นไม่ออก ขอบอกว่ามีโอกาสที่ ลิเวอร์พูล จะยุติเส้นทางการป้องกันแชมป์ในรอบนี้เท่านั้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • ฮาแลนด์เผยกองหลังคนไหนที่ไม่อยากเผชิญหน้าด้วย
    แม้ว่าจะทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนเป็นฝันร้ายของบรรดากองหลัง แต่ เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ หัวหอก ดอร์ทมุนด์ ก็ยอมรับตามตรงว่า เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กองหลัง ลิเวอร์พูล คือคนที่ตนไม่อยากดวลด้วย หลังจากที่ ฟาน ไดค์ เป็นนักเตะที่เก่งทุกด้าน พร้อมลั่น ยังไม่มีความคิดที่จะบอกลา "เสือเหลือง" แต่อย่างใด
  • การ์เซียชี้ลิเวอร์พูล-แอต.มาดริดใครจะร่วงชปล
    รักพี่เสียดายน้อง! หลุยส์ การ์เซีย วิเคราะห์เกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แอต.มาดริด ทีมไหนจะได้ผ่านเข้ารอบต่อไป
  • คาร์ราเกอร์ซูฮกวานบิสซาก้าเบอร์1โลกในด้านไหน?
    เจมี่ คาร์ราเกอร์ อดีตยอดปราการหลัง ลิเวอร์พูล ออกโรงสรรเสริญ อารอน วาน-บิสซาก้า ว่าเป็นหนึ่งในฟูลแบ็กที่จัดการกับจังหวะดวลตัวต่อตัวได้เก่งที่สุดของโลก พร้อมระบุ หลังจากนี้ โจเซป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนฯ ซิตี้ ไม่ควรเอา ราฮีม สเตอร์ลิง ไปดวลกับ วาน-บิสซาก้า อีกต่อไป
  • ตำนานชี้สาเหตุที่ลิเวอร์พูลฟอร์มแผ่ว
    รอนนี่ วีแลน อดีตยอดมิดฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล ระบุ ที่ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล ฟอร์มไม่ดุดันเหมือนเก่า เป็นเพราะพวกเขากลัวที่จะต้องแพ้ในลีก แต่ชี้ โดยรวมแล้วซีซั่นนี้ "หงส์แดง" เล่นได้ดีจนคู่ควรกับการเป็นแชมป์ลีกแล้ว

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »