ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » เมอร์ซี่ย์ไซด์แบบจืดๆ ! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล บุกเสมอ เอฟเวอร์ตัน

เมอร์ซี่ย์ไซด์แบบจืดๆ ! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล บุกเสมอ เอฟเวอร์ตัน

Posted 22/06/2020 by siamsport

  เกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์จบลงไปแบบจืดๆ ด้วยสกอร์ 0-0 โดยงานนี้ ลิเวอร์พูล อาจจะพอใจกับ 1 คะแนนที่ได้ในกูดิสัน พาร์ค เพราะพวกเขาทำผลงานไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก ในขณะ เอฟเวอร์ตัน คงรู้สึกเสียดายที่พลาด 3 แต้ม หลังสร้างโอกาสชัดเจนมากกว่า "หงส์แดง"
 

    แมตช์นี้ทีมเยือนยังมีปัญหานักเตะตัวหลักยังไม่ฟิตเต็มร้อยโดยเฉพาะ โมฮาเหม็ด ซาลาห์  ที่ต้องนั่งเป็นตัวสำรองเพราะร่างกายยังไม่พร้อม ขณะเดียว "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมทั้งเกมรับที่เหนียวแน่น และเกมรุกที่หวือหวา จนทำให้ทีมเกือบได้ประตู 2-3 ครั้ง


    สำหรับผลการแข่งขันที่จบลงแบบไร้สกอร์ น่าจะเป็นเรื่องที่ "เดอะ เร้ดส์" พึงพอใจ เหมือนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่าพวกเขาโชคดีมากๆ ที่บุกมาเก็บแต้มได้ในแมตช์นี้ สำหรับตอนนี้สิ่งที่ กุนซือชาวเยอรมัน ต้องทำต่อไป ก็คือการเตรียมทีมให้ดีที่สุดในแมตช์รับมือ คริสตัล พาเลซ กลางสัปดาห์นี้
 

1. เรดาร์อาร์โนลด์ยังมีปัญหา
    เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อยู่ในช่วงฟอร์มฝืดจริงๆ เพราะนักเตะมีปัญหาเรื่องการเปิดบอลตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ล็อกดาวน์ จนกระทั่งพรีเมียร์ลีก รีสตาร์ท ก็ดูเหมือนว่านักเตะยังไม่สามารถเรียกผลงาน ฟูลแบ็กจอมแอสซิสต์ กลับมาได้ในแมตช์บุกเสมอ เอฟเวอร์ตัน แบบไร้สกอร์

    ย้อนไปดูผลงานของ "เจ้าหนูเทรนต์" เมื่อฤดูกาลก่อนเขาทำ 16 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 40 นัดในทุกรายการ ขณะที่ฤดูกาลนี้ก็ทำไปแล้ว 14 แอสซิสต์ จากการลงสนามในทุกรายการ 41 นัด โดยเมื่อดูจากสถิติยังคงยอดเยี่ยม กระนั้นในช่วง 2-3 เกม (รวมทั้งแมตช์แพ้ วัตฟอร์ด)  อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่สามารถเปิดบอลที่แสนแม่นยำและเด็ดขาดได้เลย

    สำหรับในแมตช์บุกเสมอ เอฟเวอร์ตัน เป็นอีกเกมที่เรดาร์ที่ติดเท้าขวาของ ฟูลแบ็กดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษ ยังไม่สามารถควำเป้าหมายได้ถูกต้อง เพราะไม่ว่าจะจังหวะการเปิดบอลทางริมเส้นด้านข้าง, การเปิดลูกเตะมุม และการปั่นฟรีคิก ไม่มีจังหวะไหนที่น่าหวาดเสียวเลย

    ตอนนี้หลายๆ คนเริ่มมีคำถามแล้วว่า ดาวเตะวัย 21 ปี อาจจะอยู่ในช่วงฟอร์มฝืด เพราะกรำศึกมานาน หรืออาจเป็นเพราะพักยาวไปหน่อยจากช่วงล็อกดาวน์ทำให้ฟอร์มการเปิดบอลยังไม่แม่นยำ แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตามหาก "เทรนต์" ยังทำผลงานไม่เก่งเหมือนเดิม มีสิทธิ์ที่เขาจะโดน เนโก วิลเลี่ยมส์ แบ็กขวาชาวเวลส์ วัย 19 ปี แย่งตำแหน่งเอาได้ง่ายๆ


2. ลอฟเรน สร้างความบันเทิง
    สาวก "เดอะ ค็อป" คงใจหายจนหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นชื่อ เดยัน ลอฟเรน กำลังจะลงสนามแทน โฌเอล มาติป ที่มีปัญหาบาดเจ็บในช่วงครึ่งหลัง เพราะรู้ซึ้งถึงกิตติศัพท์ที่สุดแสนน่าหวาดหวั่นในยามที่อยู่เป็นเซนเตอร์แบ็กให้กับทัพ "หงส์แดง"

    ดาวเตะชาวโครเอเชีย มักจะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเพื่อนร่วมทีมเป็นประจำ เพราะเขามักจะสกัดบอลแบบโฉ่งฉ่าง และมักจะหลุดตำแหน่งเป็นประจำ จนทำให้ทีมต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งเรื่องแบบนี้แฟนบอล "เดอะ เร้ดส์" เห็นกันจนชินตา

    ไม่ใช่เป็นการกล่าวโทษกันเกินไปแต่ในช่วงที่ มาติป จับคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ นั้น เกมรับของ ลิเวอร์พูล ค่อนข้างแน่นอน และจัดการแนวรุกของ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" จนอยู่หมัด แถมในช่วงที่ทีมได้ลูกเตะมุม 2 เซนเตอร์แบ็กยังขึ้นไปกดดันแนวรับเจ้าบ้านอยู่บ่อยๆ   

    จนกระทั่ง มาติป ดันมีปัญหาบาดเจ็บในช่วงนาทีที่ 73 และ คล็อปป์ จำเป็นต้องส่ง ลอฟเรน มาช่วยงาน ฟาน ไดค์ เท่านั้นแหละ เอฟเวอร์ตัน ก็จัดการโจมตีทางแข้งโครแอตทันที และพวกเขาก็เกือบทำสำเร็จ จากจังหวะที่ ลอฟเรน วิ่งเบียดกับ ริชาร์ลิซอน แล้วก็ลื่นล้ม จากนั้นพยายามวิ่งไปกดดันก็โดนหลอกจนหัวทิ่ม ก่อนหัวหอกเจ้าบ้านจะซัดมุมแคบไปติดเซฟ อลีสซง

    แม้อาจจะมีบางคนช่วยแก้ตัวให้ ลอฟเรน ว่าเพิ่งจะได้ลงสนาม สภาพร่างกายและการอ่านเกมอาจจะยังไม่แน่นอน แต่กระนั้นด้วยประสบการณ์ขนาดนี้นักเตะควรจะทำผลงานให้ดีกว่า


3. มินามิโนะ ยังต้องพยายามหาจังหวะของตัวเองต่อไป
    การที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังไม่ฟิตเต็มร้อย ทำให้ คล็อปป์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่ง ทาคุมิ มินามิโนะ ลงเป็นตัวจริง และนี่คือโอกาสทองของเขาในการที่จะเฉิดฉายกับการลงสนามเป็น 11 คนแรกของต้นสังกัดในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม จอมทัพทีมชาติญี่ปุ่น ยังไม่สามารถทำผลงานได้อย่างที่เคยทำเอาไว้กับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก แม้ว่าในช่วงต้นเกม มินามิโนะ จะโชว์ความหวือหวาได้ในระดับนึง และมีโอกาสสับเต็มข้อบริเวณกรอบเขตโทษ แต่น่าเสียดายที่บอลเหินข้ามคาน

    หลังจากนั้นเจ้าตัวก็แทบไม่มีโอกาสในการสร้างสรรค์เกมให้กับทีมเลย สุดท้ายก็ต้องโดนเปลี่ยนตัวออก โดย นายใญ่ชาวเยอรมัน เลือกที่จะใช้งาน อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ในช่วงครึ่งหลัง ซึ่งก็ลงมาสร้างความแตกต่างในเกมบุกให้กับ "เดอะ เร้ดส์" ได้พอสมควร

    กระนั้น หากมองตามความเป็นจริงดูเหมือนว่า คล็อปป์ ยังไม่สามารถหาตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ เพลย์เมกเกอร์เลือดซามูไร ได้เลย และงานนี้คงเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยว่าช่วง 8 เกมทีเหลืออยู่ในซีซั่นนี้ มินามิโนะ จะพัฒนาผลงานของเขาได้หรือไม่ ต้องรอติดตามดูกันต่อไป
 


4. ฟาน ไดค์ ใช้ฝีเท้าตอกหน้า ริชาร์ลิซอน 
    ก่อนเกมนี้ ริชาร์ลิซอน โชว์สกิลฝีปากด้วยการปรามาส เฟอร์จิน ฟาน ไดค์ เจ้าของตำแหน่งอันดับ 2 บัลลงดอร์ ปีล่าสุด ว่าฝีเท้าไม่ได้เก่งฉกาจเหมือนกับที่หลายๆ คนต่างสรรเสริญเยินยอ พูดง่ายๆ ว่า ปราการหลังชาวดัตช์ ก็แค่แนวรับดาดๆ ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย

    ยิ่งไปกว่านั้น ดาวเตะชาวบราซิเลียน วัย 23 ปี ยังคุยโวคำรบสองว่าเคยเลี้ยงบอลผ่าน ฟาน ไดค์ มาแล้ว และยังเชิดชู ติอาโก้ ซิลวา, มาร์กินญอส  และ เซร์คิโอ รามอส เป็นกองหลังที่เหนือกว่า เซนเตอร์แบ็กทีมชาติฮอลแลนด์ มากมายหลายขุม


 

    สิ่งที่ ริชาร์ลิซอน พูดเพื่อหวังจะโยนแรงกดดันใส่ ฟาน ไดค์ แต่ดูเหมือนว่ามันจะกลายเป็นแรงบวกให้กับ แข้งเลือดดัตช์ เมื่อเขาทำผลงานได้แข็งแกร่งเหมือนเดิม และไม่เอาคำพูดไร้สาระมารบกวนจิตใจ โดยงานนี้ ดาวเตะแซมบ้า ไม่สามารถสร้างความอันตรายได้เลยในกรอบเขตโทษ

    แน่นอนว่า สาวก "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" คาดหวังที่จะเห็นสตาร์ประจำทีมทำผลงานได้เก่งอย่างที่พูดเอาไว้เมื่อลงสนาม แต่สุดท้ายก็ท่าดีที่เหลว ฉะนั้นหากเป็นไปได้ในครั้งต่อไปบรรดาแฟนคลับเอฟเวอร์ คงอยากเห็น ริชาร์ลิซอน โชว์ฝีเท้ามากกว่าที่จะมาโชว์ฝีปากอย่างที่ผ่านมา
 

5. ฟอร์มยังติดๆ ขัดๆ 
    ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในฟอร์มที่ไม่คงที่เพราะพวกเขาพักเครื่องไปนานถึง 3 เดือนจากเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยแมตช์เยือน เอฟเวอร์ตัน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทีมขาดการต่อบอลที่ไหลลื่น และไร้ความเฉียบคมในแดนหน้า

    หนึ่งในเหตุผลที่ "หงส์แดง" ฟอร์มที่ฮอตอาจจะเป็นเพราะพวกเขาขาดแข้งเกมรุกชั้นยอดอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และแบ็กซ้ายฝีเท้าฉกาจ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่าฟอร์มฝืดก็คือ เจมส์ มิลเนอร์ กับ โฌเอล มาติป ที่ลงตัวจริงในเกมนี้ดันมาเจออาการบาดเจ็บเล่นงานเข้าไปอีก

    อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่บวกการได้เห็น นาบี เกอิต้า ลงสนามเป็น 11 แข้งตัวจริงในแมตช์นี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะนักเตะทำผลงานได้โดดเด่นมากๆ และประสานงานกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ฟาบินโญ่ ได้เป็นอย่างดี น่าเสียดายที่เจ้าตัวต้องโดนเปลี่ยนตัวออก เพราะสภาพร่างกายยังไม่ฟิตเต็มร้อย

     หลังจบเกมนี้ คล็อปป์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสภาพความฟิต เพราะหลังจากนี้อีกไม่กี่วันก็ต้องรับมือ คริสตัล พาเลซ ที่แอนฟิลด์ และหากฟอร์มยังไม่เข้ารูปเข้ารอย กอปรกับนักเตะตัวหลักยังฟิตไม่เต็มร้อย งานนี้มีหวังได้เจองานหนักจากทัพ "ดิ อีเกิ้ลส์" แหงๆ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • ลอฟเรนทำเหนื่อย! ตัดเกรดแข้งลิเวอร์พูลเกมบุกเสมอเอฟเวอร์ตัน
    ลิเวอร์พูล ประเดิมนัดรีสตาร์ทด้วยการบุกเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ในศึกเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ถือเป็นเกมที่นักเตะ "หงส์แดง" ยังเครื่องไม่ร้อน ส่วนหนึ่งมาจากความฟิตยังไม่เต็มร้อยและขาดนักเตะตัวหลักบางส่วน แต่ต้องชื่นชมแท็คติกเกมรับของ เอฟเวอร์ตัน ที่เล่นกันมีระเบียบจนลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เจาะไม่เข้า เราไปดูคะแนนของนักเตะลิเวอร์พูลในเกมนี้กัน
  • ลิเวอร์พูลรีสตาร์ทจืด! บุกเจ๊าเอฟเวอร์ตัน ลุ้นฉลองแชมป์รังเรือใบ
    "หงส์แดง" กลับมารีสตาร์ทฟอร์มไม่แจ่มเท่าไหร่หลังแค่บุกไปแบ่งแต้มกับ เอฟเวอร์ตัน แบบไร้สกอร์ 0-0 ทำให้จ่าฝูง ลิเวอร์พูล ต้องยืดเวลาฉลองแชมป์ลีกออกไป โดยต้องการอีก 5 คะแนนเพื่อการันตีแชมป์ซีซั่นนี้ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
  • ลิเวอร์พูลมีแววเสียมาเน่ แม้สัญญาเหลืออีกยาว
    เรอัล มาดริด และ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง สองทีมยักษ์ใหญ่ทวีปยุโรป ต่างพร้อมทุ่มเงินจำนวน 150 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 5,700 ล้านบาท เพื่อยื่นซื้อ ซาดิโอ มาเน่ จาก ลิเวอร์พูล
  • คล็อปป์ถ่อมตัวลิเวอร์พูลคงเทียบแมนยูยุคป๋าไม่ได้
    เจอร์เก้น คล็อปป์ เผยว่า ลิเวอร์พูล คงยากที่จะครองความยิ่งใหญ่ได้เหมือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่กวาดแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 13 สมัย พร้อมย้ำความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มเจ้าของทีม

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »