ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ลีกคัพอื่นๆ » แมนยูร่วง - เซ่น "ไบยี่"!เชลซีโชว์แจ่มไล่อัดซิวชัยลิ่วชิงดำอาร์เซน่อลศึกเอฟเอคัพ

แมนยูร่วง - เซ่น "ไบยี่"!เชลซีโชว์แจ่มไล่อัดซิวชัยลิ่วชิงดำอาร์เซน่อลศึกเอฟเอคัพ

Posted 20/07/2020 by siamsport

"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องกระเด็นตกรอบเสียแล้วหลังโดน "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่ระเบิดฟอร์มแกร่งไล่อัดพ่ายไปด้วยสกอร์ 1-3 โดยเกมนี้ เอริก ไบยี่ กองหลังผีแดงส่อเจ็บหนักจนต้องหามส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ เชลซี จะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ อาร์เซน่อล ต่อไป ในศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ (รอบรองชนะเลิศ) วันอาทิตย์ที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา

ฟุตบอล เอฟเอ คัพ อังกฤษ (รอบรองชนะเลิศ)
วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563
แมนฯ ยูไนเต็ด 1   -   3 เชลซี

สนาม : เวมบลีย์ (สนามกลาง)

     นัดนี้เป็นการพบกันครั้งที่ 4 ของฤดูกาลนี้ของทุกรายการ และ 3 นัดที่ผ่านมาเป็นฝั่งแมนยูที่คว้าชัยไปได้ทั้งหมด
   
     เริ่มเกมเป็นทางแมนยูได้เขี่ยลูกเริ่มเล่นก่อน ผ่านมาถึงนาทีที่ 5 บรูโน่ แฟร์นันด์ส เปิดยาวให้ แดเนียล เจมส์ กวดยาวหวังเล่นบอลแต่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าบอลแรงเลยไปเข้ามือ วิลลี่ กายาเยโร่ นายด่านตัวสำรองเชลซีรับไว้และเล่นต่อไปไร้ปัญหา

    ทั้งสองทีมยังต่อบอลสู้กันที่แดนกลาง นาทีที่ 10 เชลซี ได้โอกาสจบสกอร์เป็น รีซ เจมส์ ที่ตะบันไกลระยะประมาณเกือบ 30 หลาทางฝั่งขวาบอลพุ่งส่ายตรงกรอบแต่ไม่ห่างตัว เด เคอา ที่เกร็งมือทุบบอลออกไปได้

   

 นาทีที่ 15 สิงโตน้ำเงินครามเกือบได้เฮก่อนเมื่อ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เติมเกมขึ้นมาทางฝั่งขวาก่อนจะเปิดโด่งโค้งไปเข้าหัว มาร์กอส อลอนโซ่ ที่ได้โขกเน้นๆ แต่บอลหลุดออกข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย

    นาทีที่ 22 ยังคงเป็นเชลซีที่ครองเกมได้มากกว่า เอริก ไบยี่ พยายามโหม่งเคลียร์แต่บอลดันไปเข้าทาง เมสัน เมาน์ท ที่ไม่รอช้าหวดด้วยเท้าขวาทันทีแต่ยังดีมี แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ยืนอยู่ตรงนั้นพอดีและบล็อกบอลไว้ได้

    10 นาทีต่อมา ทัพอสูรแดงได้ลุ้นจากจังหวะฟรีคิกระยะประมาณ 24 หลาหน้ากรอบเขตโทษ จากการที่ เฟร็ด โดน มาเตโอ โควาซิช สอยด้านหลัง และเป็น บรูโน่ รับหน้าที่สังหารวิ่งเข้ามาซัดเข้ากรอบแต่ไปตรงตัว กาบาเยโร่ กระโดดปัดออกไปไม่ยากนัก

  

นาทีถัดมาเชลซีได้ลุ้นอีกครั้ง เมสัน เมาน์ท ได้ซัดหน้ากรอบเขตโทษแมนยูแต่ทิศทางไม่ค่อยดีบอลไหลไปเข้ามือ เด เคอา รับไว้สบาย

    นาทีที่ 37 แมนยูได้ลูกฟรีคิกระยะเกือบ 35 หลา จากจังหวะที่ บรูโน่ โดน มาเตโอ โควาซิช เข้าตัดฟาวล์ และเป็น แรชฟอร์ด รับหน้าที่ยิงไกลแต่ดันไปติดบล็อกแข้งสิงห์เต็มๆ ไม่ได้ลุ้นอะไรเลย

    เปลี่ยนมาเป็นโอกาสของเชลซีบ้าง นาทีที่ 39  เมสัน เมาน์ท ใช้ความสามารถเฉพาะตัวกระชากพาบอลไปสุดริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนจะเปิดยัดโด่งมาเข้าหัว คูร์ท ซูม่า ได้โขกเต็มๆ แต่ทิศทางยังคงไม่ดีบอลเหินข้ามคานออกไปอย่างสุดเสียว

  

 นาทีที่ 42 เกมต้องหยุดฉะงักไปพักใหญ่เหตุเพราะ แม็กไกวร์ ที่กำลังเบียดแย้งโหม่งกับ ชิรูด์ แต่ดันถูก ไบยี่ ถอยหลังเข้ามาโขกเต็มๆ ที่หางคิ้วด้านขวา ส่งผลให้ แม็กไกวร์ บาดเจ็บมีแผลแตกทำเอาแพทย์สนามต้องลงมาประถมพยาบาลและสามารถเล่นต่อไปได้

    ในขณะที่ ไบยี่ ก็มีแผลแตกตรงกลางศรีษะเช่นกันและดูเหมือนอาการจะหนักกว่าทีมแพทย์ต้องใช้อุปกรณ์บล็อกที่คอ และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตัดสินใจเปลี่ยน อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ลงมาเล่นแทนทันที

   

 เกมกลับมาเล่นกันต่อ นาทีที่ 45+ 7 มาร์กซิยาล ที่พยายามยื่นเท้าเข้าไปแย้งในจังหวะเคลียร์บอลของ คูร์ท ซูม่า ทำให้ มาร์กซิยาล ถูกหวดเต็มๆ ที่ข้อเท้าจนลงไปกองกับพื้นจนเพื่อนร่วมทีมต้องเตะบอลทิ้งและแพทย์สนามลงไปดูอาการอีกครั้งแต่ไม่เป็นอะไรมาก

   เชลซี ขึ้นนำ 1-0 นาทีที่ 45+11 จากจังหวะทำเกมรุกขึ้นมาทางฝั่งขวา เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ทำชิ่งกับ วิลเลี่ยน ก่อนจะจ่ายบอลกลับให้ อัซปิลิกวยต้า อีกครั้งได้หลุดไปเกือบสุุดเส้นหลังแล้วเปิดบอลเลียดยัดไปที่เสาแรกและเป็น โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ที่ใช้สัญชาตญาณจอมล่าตาข่ายวิ่งเข้ามาดีดบอลด้วยข้างเท้าซ้ายระยะไม่ถึง 5 หลาผ่านมือ ดาบิด เด เคอา ที่พยายามป้องกันแต่ด้วยระยะที่ใกล้เกินไปทำให้รับไม่อยู่บอลหลุดไหลเข้าประตูไป

    จบครึ่งแรก เชลซี ออกนำแมนยูไปก่อน 1-0

    มาลุ้นต่อครึ่งหลังนาทีที่ 46 เชลซี ออกนำห่าง 2-0 จากจังหวะจ่ายบอลพลาดของ แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ แล้วโดน เมสัน เมาน์ท ตัดบอลไว้ได้ก่อนกระชากลากจี้แล้วซัดไกลเกือบ 25 หลาบอลพุ่งตรงกรอบทำท่าจะไม่มีอะไรแต่ ดาบิด เด เคอา ล้มตัวรับรอดแขนเข้าไปซะอย่างนั้น

    นาทีที่ 50 เชลซี บุกขึ้นมาทางฝั่งขวาที่ เมสัน เมาน์ท แล้วเปิดบอลยัดไปในเขตโทษให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ที่วิ่งโฉบเข้ามาเก็บบอลแต่เจ้าตัวดันจับบอลยาวไหลออกหลังไป

    2 นาทีถัดมา แมนยูได้ลุ้นทวงประตูคืน แรชฟอร์ด หลุดเข้าไปยิงทางฝั่งซ้าย แต่ด้วยมุมที่มีน้อยและ กาบาเยโร่ ยืนปิดมุมดีทำให้ แรชฟอร์ด ซัดหลุดออกเสาไกลไปอย่างน่าเสียดาย

    นาทีที่ 56 โซลชา เสริมเกมรุกโดยเปลี่ยน ปอล ป็อกบา ลงมาแทน เฟร็ด และ เมสัน กรีนวูด ลงมาแทน แดเนียล เจมส์

    นาทีถัดมา แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เติมเกมขึ้นมาแล้วได้ตั้งป้อมยืนโขกเน้นๆ แต่บังคับทิศทางไม่ดีไปตรงตัว กาบาเยโร่ ที่ยืนอยู่กลางประตูรับไว้อย่างง่ายดาย

    นาทีที่ 58 เชลซี เกือบได้ประตูที่สาม รีซ เจมส์ หักข้อเปิดบอลทางฝั่งขวาย้อนไปให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ได้ตวัดยิงไปแฉลบ เนมานย่า มาติช บอลเปลี่ยนทางทำท่าจะพุ่งเข้าเสาไกลแต่ เด เคอา ทะยานตัวปัดไว้ได้ด้วยปลายมือ

    นาทีที่ 63 แมนยูได้ลูกฟรีคิกตรงมุมกรอบเขตโทษทางฝั่งขวาจากจังหวะที่ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ เข้าไปโขกหัวของ เมสัน กรีนวูด และเป็น บรูโน่ แฟร์นันด์ส รับหน้าที่เปิดบอลยัดเข้าไปแต่ก็ไม่ได้ลุ้นอะไรแข้งสิงห์ช่วยกันโหม่งเคลียร์ออกไปได้

    นาทีที่ 65 แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ได้โอกาสโขกเต็มๆ ในเขตโทษเชลซีอีกครั้งแต่ก็ยังคงบังคับทิศทางไม่ดีส่งผลให้บอลหลุดออกหลังไปอีกตามเคย

    นาทีที่ 71 มีใบเหลืองแรกของเกมเกิดขึ้นและเป็น ปอล ป็อกบา ที่เข้าไปย้ำใส่ มาเตโอ โควาซิช ทำให้ ไมค์ ดีน ท่านเปาเกมนี้ไม่รอช้าเปาฟาวล์ให้เชลซีและคาดโทษ ป็อกบา ทันที

    ดูเหมือนว่าเกมแมนยูจะไม่มีอะไรดีขึ้น นาทีที่ 74 เชลซีนำห่าง 3-0 จากจังหวะจ่ายบอลของ เมสัน เมาน์ท ทางฝั่งขวาให้ อลอนโซ่ หลุดขึ้นไปเปิดยัดแรงเข้าไปในกรอบเขตโทษผีแดงและเป็น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่พยายามยื่นเท้าเข้ามาตัดบอลแต่โดนผิดเหลี่ยมกลายเป็นเข้าประตูตัวเองไป หมดปัญญาที่ เด เคอา พยายามป้องกันแล้วแต่ไม่ทัน

    นาทีที่ 78 แมนยูมีโอกาสลุ้นจากลูกเตะมุม บรูโน่ เปิดไปเข้าหัว เนมานย่า มาติช ที่ได้โขกกดลงพื้นจ่อๆ แต่จังหวะไม่เป็นใจบอลกระดอนลอยข้ามคานไปอย่างเหลือเชื่อ

    ผ่านพ้นมาถึงนาทีที่ 85 แมนยูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 เมื่อได้ลูกจุดโทษจากจังหวะ จ่ายบอลของ บรูโน่ ให้ มาร์กซิยาล และถูก คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย หวดเข้าที่ด้านหลัง และเป็น บรูโน่ เจ้าประจำรับหน้าที่สังหารกับท่าจิงโจ้กระโดดยิงเข้าไปไม่พลาด

    ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มจบเกม เชลซี อัด แมนยู 3-1 ส่งผลให้ทัพสิงโตน้ำเงินครามผ่านเข้าไปชิงดำกับ อาร์เซน่อล ต่อไป ส่วนแมนยูต้องอกหักร่วงตกรอบ

รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม

    แมนฯ ยูไนเต็ด (3-4-1-2) : ดาบิด เด เคอา - เอริก ไบยี่  (อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล น.45+2), แฮร์รี่ แม็กไกวร์, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ - เนมานย่า มาติช, แบรนดอน วิลเลี่ยมส์, เฟร็ด (ปอล ป็อกบา น.56), อารอน วาน-บิสซาก้า (ทิโมธี โฟซู-เมนซาห์ น.79) - บรูโน่ แฟร์นันด์ส - มาร์คัส แรชฟอร์ด (โอเดียน อิกาโล่ น.79), แดเนียล เจมส์ (เมสัน กรีนวูด น.56)
     ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

    เชลซี (3-4-3) : วิลลี่ กาบาเยโร่ - เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, คูร์ท ซูม่า - รีซ เจมส์, จอร์จินโญ่, มาเตโอ โควาซิช (รูเบน ลอฟตัส-ชีค น.86), มาร์กอส อลอนโซ่ - เมสัน เมาน์ท (เปรโด 90+1), วิลเลี่ยน (คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย น.80) - โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ (แทมมี่ อับราฮัม น.80)
     ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด  

    ผู้ตัดสิน : ไมค์ ดีน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »