ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » ลุ้นระทึกสามแต้มสำคัญ ! ผ่า 5 ข้อก่อนเกมลิเวอร์พูล เยือน เซาธ์แฮมป์ตัน

ลุ้นระทึกสามแต้มสำคัญ ! ผ่า 5 ข้อก่อนเกมลิเวอร์พูล เยือน เซาธ์แฮมป์ตัน

Posted 04/01/2021 by siamsport

เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมันของ ลิเวอร์พูล ต้องนำลูกทีมเยือน "นักบุญ" แดนใต้ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่สนามเซนต์ แมรี่ส์ เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันจันทร์ที่ 4 มกราคมนี้ ซึ่งเป็นแมตช์ที่สำคัญเลยทีเดียว เพราะหากพวกเขาไม่สามารถเก็บ 3 แต้มได้ งานนี้แรงกดดันในการป้องกันแชมป์คงถาโถมเข้าใส่เป็นทวีคูณ
   
ปัจจุบัน "หงส์แดง" รั้งจ่าฝูงโดยมี 33 คะแนนเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่า แต่ "ผีแดง" ยังเหลือเกมในมือ 1 แมตช์ ฉะนั้นหากเกมนี้ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเก็บ 3 แต้มได้ สถานการณ์ในการลุ้นแชมป์ลีก จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้น

อย่างไรก็ตามหาก "เดอะ เร้ดส์" สามารถบุกชนะ "เดอะ เซนต์ส" ได้ถึงถิ่น ก็ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยรับปี 2021 รวมไปถึงการเรียกขวัญกำลังใจก่อนจะเดินทางไปแก้มือกับ แอสตัน วิลล่า เกมเอฟเอ คัพ วันเสาร์นี้ และทำศึก "แดงเดือด" รับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด สุดสัปดาห์หน้า

1. ติอาโก้ พร้อมรบเต็มสูบ

หลังจากที่เห็น ติอาโก้ อัลกันตาร่า ลงสนามในช่วง 17 นาทีสุดท้าของเกมที่เสมอกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด บรรดาสาวก "เดอะ ค็อป" คงได้เห็นเรื่องดีๆ บนสกอร์ที่ไร้ประตู เพราะคลาสบอลที่ดาวเตะชาวสแปนิช แสดงให้เห็นช่วยทำให้เกมรุกของ ลิเวอร์พูล มีความหลากหลายขึ้นมาในชั่วพริบตา

มีหลายเกมที่ "หงส์แดง" ต้องเจอกับสถานการณ์หน้าอึดอัดหากเจอสโมสรที่เน้นเกมรับเหนียวแน่น และพวกเขาไม่สามารถที่จะทำเกมเจาะเข้าไปในเขตโทษของคู่แข่งได้มากนัก โดยส่วนใหญ่แล้วจะอาศัยการเปิดบอลที่แม่นยำของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

อย่างไรก็ตามหากสองฟูลแบ็กเกิดอาการเรดาร์มีปัญหาไม่สามารถเปิดบอลได้แม่นยำ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอันตรายเกมรับที่เหนียวแน่นของคู่แข่งได้ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นมาแล้วในเกมเสมอ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน กับ "สาลิกาดง" ในช่วง "บ็อกซิ่งเดย์"

ต้องยอมรับว่า เคอร์ติส โจนส์ คลาสในการเป็นเพลย์เมกเกอร์ยังไม่ถึงขนาดนั้น ขณะที่ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ไม่ได้มีวิสัยทัศน์ในการผ่านบอลแบบคิลเลอร์พาส ดังนั้นการที่ ติอาโก้ ฟิตสมบูรณ์และมีแววได้ลงเล่นตัวจริง จะยิ่งทำให้ "เดอะ เร้ดส์" มีอาวุธหนักที่อันตรายทั้งริมเส้น และตรงกลาง

ยิ่งไปกว่านั้นหาก คล็อปป์ จับ ไวจ์นัลดุม กับ "เฮนโด้" ลงทำหน้าที่คอยคุมจังหวะในเกมแดนกลาง และปล่อยให้ ติอาโก้ ได้สร้างสรรค์ผลงานอย่างเต็มที่ งานนี้บอกเลยว่าแฟนบอลลิเวอร์พูล คงจะได้เห็นการผ่านบอลสวยๆ จากเท้าของ จอมทัพทีมชาติสเปน แน่นอน

2. ระวัง  เจมส์ วอร์ด-พราวส์ เอาไว้ให้ดีๆ

แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะมีกองกลางที่ชื่อชั้นเหนือกว่าก็ตาม แต่ เซาธ์แฮมป์ตัน ก็มีทีเด็ดเช่นกันโดยเฉพาะ เจมส์ วอร์ด-พราวส์ มิดฟิลด์ร่างเล็กใจใหญ่ ที่มีทีเด็ดทั้งการเปิดบอลแม่นยำ และการยิงฟรีคิกที่เฉียบคม ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่อาจจะทำให้ "หงส์แดง" ต้องน้ำตาร่วงก็ได้

วอร์ด-พราวส์ กำลังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในฤดูกาลนี้ โดยนอกจากจะเป็นนักเตะประเภทพร้อมลุยทุกสถานการณ์ เข้าบอลแบบไม่กลัวเจ็บแล้ว ยังเป็นผู้เล่นที่มีการเล่นลูกตั้งเตะที่ยอดเยี่ยมมากๆ ซึ่งแน่นอนว่า คล็อปป์ ต้องกำชับลูกทีมอย่างพยายามเสียเตะมุม หรือฟรีคิกในระยะอันตรายเด็ดขาด

ทัพ "นักบุญ" ยกให้เขาเป็นเจ้าพ่อฟรีคิกคนใหม่แทน แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ตำนานของสโมสรไปเรียบร้อยแล้ว โดยตอนนี้เจ้าตัวทำประตูจากลูกฟรีคิกไปแล้ว  9 ประตู ซึ่งนี่คือจุดที่ ลิเวอร์พูล ต้องระมัดระวังเอาไว้ให้ดีๆ เพราะตอนนี้ วอร์ด-พราวส์ มีเท้าติดเรดาร์น่ากลัวอย่างบอกใครเชียว

ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ คล็อปป์ อยากได้ วอร์ด-พราวส์ มาร่วมทัพในช่วงที่ผ่านมา เพราะนักเตะมีศักยภาพหลายด้านทั้งการเล่นเกมบุกแบบดุดัน การรับผิดชอบเล่นลูกตั้งเตะทุกรูปแบบ รวมทั้งยังมีความสามารถในการผ่านบอลที่เฉียบคมด้วย
 
3. วัลค็อตต์-อิงส์ ตัวป่วนที่ต้องระวังให้ดี

เกมนี้ คล็อปป์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำชับลูกทีมให้ระมัดระวังความรวดเร็วของ ธีโอ วัลค็อตต์ และ แดนนี่ อิงส์ ให้ดีๆ เพราะทั้งสองคนมีสปีดต้นที่รวดเร็ว แถมในเรื่องการยิงประตูก็ค่อนข้างเฉียบคม ฉะนั้นคู่เซนเตอร์แบ็กในเกมนี้ต้องมีสมาธิ และอ่านเกมให้ขาด

อย่างไรก็ตาม นายใหญ่ชาวเยอรมัน คงจะต้องใช้ ฟาบินโญ่ เล่นคู่กับ รีส วิลเลี่ยมส์ หรือ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ คนใดคนหนึ่งซึ่งเรื่องประสบการณ์ก็ต้องบอกเลยว่ายังอ่อนด้อยกว่า วัลค็อตต์ และ อิงส์ แถมเรื่องความเร็วทั้ง มิดฟิลด์ทีมชาติบราซิล และสองดวงรุ่งก็ยังสู้ไม่ได้ด้วย

ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือ ฟาบินโญ่ กับ วิลเลี่ยมส์ หรือ ฟิลลิปส์ ต้องจดจำให้ขึ้นใจก็คือการยืนตำแหน่งให้ดีที่สุด และไม่เสียบอลง่าย รวมทั้งห้ามเสียสมาธิเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นหากทัพ "นักบุญ" เล่นบอลสวนกลับเร็ว งานนี้มีหวัง "เดอะ เร้ดส์" ได้น้ำตาตกแหงๆ

4. ซาลาห์ จอมหลอน "นักบุญ"

สิ่งที่พอจะช่วยให้ ลิเวอร์พูล ข่ม เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ในเวลานี้ก็คือสถิติที่พวกเขามักจะทำได้ดีเมื่อปะทะกับ "เดอะ เซนต์ส" โดยเจ้าบ้านยิงได้แค่สองประตูจากการลงสนาม 8 เกมลีกหลังสุดนับตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ "หงส์แดง" มีความมั่นใจในการพบกับ "นักบุญไ

ยิ่งไปกว่านั้นทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ยังเอาชนะได้ 6 แมตช์จาก 8 เกมลีกหลังสุดที่พบกันพร้อมกับยิงประตูรวมไปถึง 17-2 ประตู (เซาธ์แฮมป์ตัน ยิงไดแค่ 2 ลูกเท่านั้น) ที่สำคัญนักเตะที่สามารถส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายพวกเขาได้มากที่สุดในเวลานี้ก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งตะบันไปแล้ว 7 ลูก ส่วน ณ เวลานี้แข้ง "หงส์แดง" ที่ซัดใส่ "นักบุญ" ในเกมพรีเมียร์ลีก มากที่สุดก็คือตำนานหัวหอกอย่าง ร็อบบี้่ ฟาวเลอร์ (8 ประตู)

นอกจากนี้ เซาธ์แฮมป์ตัน ยังมีสถิติไม่ค่อยโสภาสถาพรในการดวลกับทีม "บิ๊กซิกซ์" เพราะพวกเขาแพ้มาหมดทั้งสามเกมในการปะทะกับ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้, "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

แน่นอนว่า คล็อปป์ คงจัดแนวรุกสามประสานได้แก่ โม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ลงสนามพร้อมกัน ฉะนั้น "นักบุญ" จะมามัวพะว้าพะวงในการป้องกัน "คิง ออฟ อียิปต์" อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะทั้ง มาเน่ และ ฟีร์มีโน่ ก็เป็นตัวอันตรายของ "เดอะ เร้ดส์" ด้วยเช่นกัน
   
5. ชัยชนะที่สำคัญเพื่อลดความกดดัน

ณ เวลานี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำคะแนนเท่ากับ ลิเวอร์พูล แล้ว และหากเกมเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน พวกเขาดันทำได้แค่เสมอหรือแพ้ แม้สถานการณ์จะยังคงรั้งอันดับจ่าฝูงต่อไป แต่ "หงส์แดง" จะเริ่มเสียเปรียบทันที เนื่องจาก "ปีศาจแดง" มีเกมตกค้างอยู่ 1 แมตช์

ดังนั้นการไปเยือนถิ่นเซนต์ แมรี่ส์ จึงมีความหมายมากกว่าแค่การเก็บ 3 คะแนนเท่านั้น เพราะหากพวกเขาสามารถบุกชนะเจ้าบ้านได้ นอกจากจะยึดตำแหน่งจ่าฝูงแล้ว ยังทำแต้มทิ้่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ออกไปอีก 3 คะแนน ทำให้ความได้เปรียบยังคงกลับมาอยู่ในมือพวกเขาอีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้นชัยชนะในแมตช์นี้ ยังเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยรับปีฉลู และเป็นแรงกระตุ้นสำคัญสำหรับบรรดาทัพ "หงส์แดง" ที่จะต้องเตรียมทำศึก "แดงเดือด" รับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามแอนฟิลด์ ในวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคมนี้ ซึ่งแน่นอนว่าผลการแข่งขันย่อมมีผลต่อการลุ้นแชมป์ลีกเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่ทีมเดียวเท่านั้นที่น่ากลัว เพราะช่วงที่ทั้ง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เลสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ค่อยๆ คืบคลานเข้ามากดดัน "เดอะ เร้ดส์" อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพะในรายของ "เรือใบสีฟ้า" เพราะพวกเขามีเกมในมือ 2 แมตช์หาก ลิเวอร์พูล หรือ "ผีแดง"เพลี่ยงพล้ำ กุนซือที่หยิบ "พุงปลา" ไปกินอาจจะเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »