ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » แลมพาร์ดเก้าอี้ร้อน ! เจาะ 5 ประเด็น เชลซี แพ้ยับ แมนซิตี้ คาบ้าน

แลมพาร์ดเก้าอี้ร้อน ! เจาะ 5 ประเด็น เชลซี แพ้ยับ แมนซิตี้ คาบ้าน

Posted 04/01/2021 by siamsport

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เริ่มเครื่องร้อนอย่างต่อเนื่อง หลังเกมล่าสุดจัดการบุกทุบ เชลซี 3-1 ถึงสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ขณะที่ "สิงโตน้ำเงินคราม" ฟอร์มสาละวันเตี้ยลงจนร่วงไปอยู่อันดับ 8 ในตารางลีกแล้ว
   
เกมนี้ "เรือใบสีฟ้า" ขาดผู้เล่นหลักไปหลายคนเนื่องจากโดนปัญหาบาดเจ็บและติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับพวกเขามากนัก เมื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า วางหมากได้อย่างสุดยอด ช่วยให้ทีมเยือนบุกนำเจ้าบ้านในครึ่งแรก 3-0 ส่วนครึ่งหลัง แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้เร่งเกม ทำให้ทีมโดนตีไข่แตกในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

สามแต้มในแมตช์นี้ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ขยับขึ้นไปอยู่อันดับ 5 มี 29 คะแนน แถมยังมีเกมตกค้างในมืออีก 2 แมตช์ ส่วน เชลซี บอกเลยว่าตอนนี้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เก้าอี้ร้อนสุดๆ เพราะผลงานกับเม็ดเงินที่ลงทุนสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง และหากยังไม่มีอะไรดีขึ้น สงสัย "แลมพ์ส" คงจะต้องหางานใหม่ในเร็วๆ นี้

1. แผงมิดฟิลด์ แมนฯ ซิตี้ เด็ดดวงเหลือเกิน

หลังจากที่ทั้งสองทีมประกาศชื่อขุมกำลังที่จะลงสนามในแมตช์นี้ แน่นอนว่าจุดปะทะที่น่าจะสามารถตัดสินเกมนี้ได้เลยนั่นก็คือแผงมิดฟิลด์ โดย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จัดการส่งกองกลางที่น่าจะดีที่สุดของทีมในเวลานี้ลงสนาม และก็ไม่ทำให้เขาต้องผิดหวังจริงๆ

ทั้ง อิลคาย กุนโดกัน, ฟิล โฟเด้น, และ เควิน เดอ บรอยน์ สร้างผลงานชั้นยอดจริงๆ โดยพวกเขาได้รับอิสระจาก เป๊ป ในการวิ่งสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งในแผงมิดฟิลด์และแดนหน้าได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่กองกลางของ "สิงโตน้ำเงินคราม" ไม่สามารถกดดันแนวรุกแข้ง "เรือใบสีฟ้า" ได้เลย

ในขณะที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กองกลางที่ เชลซี น่าจะไว้วางใจได้มากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย ที่สำคัญเขายังทำเสียบอลหลายครั้งในแดนกลางซะด้วย ฉะนั้นจึงไม่ใช้เรื่องแปลกที่ ดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศส จะโดน โรดรี้ , เดอ บรอยน์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง เล่นงานจนปั่นป่วน

ต้องยอมรับว่าแผงมิดฟิลด์ของ เชลซี ในเกมนี้ไม่สามารถต่อกรกับกองกลางของ แมนฯ ซิตี้ ได้เลย และนี่คือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้ "สิงโตน้ำเงินคราม" ต้องพบกับความปราชัยอย่างน่าเจ็บปวดคาถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ และทำให้การลุ้นแชมป์ลีกในซีซั่นนี้ของพวกเขาเลือนลางเต็มที
 
2.  เชลซี ต้องเรียกสติกองหน้าและแข้งใหม่ให้กลับคืนฟอร์มด่วน

ตอนนี้สิ่งสำคัญที่ เชลซี ต้องรีบแก้ไขเป็นการด่วนก็คือเรื่องการจบสกอร์ เพราะ ติโม แวร์เนอร์ กองหน้าชาวเยอรมันที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้ว่าจะยิงประตูเป็นกอบเป็นกำหลังจากทุ่มเงินตัดหน้า "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สนิมเริ่มเกาะหน้าแข้ง ยิงประตูไม่เป็นซะแล้ว

หัวหอกทีมชาติเยอรมัน กลายเป็นนักเตะที่ขาดความมั่นใจในการทำประตูไปแล้ว ทั้งๆ ที่เกมนี้เขามีโอกาสที่จะยิงประตูได้เพราะคู่แข่งต้องใช้นายทวารอย่าง แซ็ค สเตฟเฟ่น ซึ่งเพิ่งจะได้ลงเฝ้าเสาเปิดตัวในเกมพรีเมียร์ลีก แต่ แวร์เนอร์ กลับไม่สามารถสร้างความกดดันอะไรได้เลย

ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง ฮาคิม ซิเย็ค, ไค ฮาแวร์ทซ์ , เบน ชิลเวลล์ และ ติอาโก้ ซิลวา ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลยในช่วงที่ผ่านมา และส่งผลให้ผลงานของ "สิงห์บลูส์" ในเวลานี้สาละวันเตี้ยลงอย่างน่าใจหายเลยทีเดียว

สำหรับในเวลานี้ แลมพาร์ด คงต้องมีการติวเข้มบรรดาแข้งใหม่ค่าเหนื่อยแพงให้เรียกฟอร์มเก่งกลับมาให้เร็วที่สุด ส่วนแนวคิดที่จะเคาะประตูบอร์ดบริหารสโมสรเพื่อของงบเสริมทัพช่วงเดือนมกราคมนี้ บอกเลยว่าลืมไปได้เลย เพราะทีมทุ่มเงินมหาศาลไปแล้วช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ดังนั้นสิ่งที่ "แลมพ์ส" ทำได้ก็คือเรียกสตินักเตะกลับมาให้เร็วที่สุด
   
3. แนวรับ แมนฯ ซิตี้ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

มีประโยคยอดฮิตที่มักจะพูดติดปากกันว่า "เกมรับทำให้พวกคุณเป็นแชมป์" และตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นสโมสรที่มีเกมรับที่เหนียวแน่นมากๆ เพราะพวกเขาเสียไปแค่ 13 ประตูน้อยที่สุดในลีกเวลานี้ ขณะที่เกมรุกก็ยังคงเดินหน้ายิงประตูคู่แข่งได้อย่างสม่ำเสมอ

สกอร์ที่ "เรือใบสีฟ้า" บุกชนะ เชลซี ถึงถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ 3-1 นั่นก็คือการเสีย 2 ประตูจากการลงสนาม 7 เกมลีกหลังสุดของพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กวาร์ดิโอล่า มีการปรับเปลี่ยนเกมรับของทีมให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่า 2-3 ซีซั่นที่ผ่านมา

แมตช์นี้ทีมเยือนแทบไม่เจอความยากลำบากจากเกมบุกของ เชลซี ด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่มี  เอแดร์ซอน นายทวารมือ 1  และ ไคล์ วอล์คเกอร์ กองหลังคนสำคัญ ซึ่งทั้งสองคนต้องอยู่ในช่วงกักตัวเนื่องจากติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยงานนี้  จอห์น สโตนส์ กับ รูเบน ดิอาส จับคู่เป็นเซนเตอร์แบ็กที่เหนียวแน่นมากๆ

ขณะที่ แซ็ค สเตฟเฟ่น ซึ่งอาจทำผิดพลาดในช่วงต้นเกมจากจังหวะเสียสมาธิ เมื่อรับบอลจากจังหวะที่ โรดรี้ ส่งคืนหลังในกรอบทำให้เสียลูกฟรีคิก แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็แทบไม่ต้องทำงานอะไรเลย โดยมีโอกาสเซฟแค่จังหวะเดียวเท่านั้น ก่อนจะถูก คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ยิงประตูช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

ฟอร์มการเล่นของ แมนฯ ซิตี้ ในเวลานี้ต้องบอกเลยว่าแกร่งทั้งเกมรุกและเกมรับ ดังนั้นนี่เป็นสัญญาณเตือนบรรดาทีมนำทั้งหลายว่าพวกเขากลับมาแล้ว และการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก จะยิ่งเข้มข้นกว่านี้อีกหลายเท่าแน่นอน

4.  ไม่มีกองหน้าไม่ใช่ปัญหาสำหรับ "เรือใบสีฟ้า"

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องประสบปัญหาการขาดกองหน้าตัวจบสกอร์อย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ และ กาเบรียล เชซุส แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับ "เป๊ป" แม้แต่นิดเดียว เพราะเขามีนักเตะที่สามารถทำประตูได้จากทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะในแผงมิดฟิลด์

เกมนี้ "เรือใบสีฟ้า" ใช้สามประสานอย่าง แบร์นาร์โด้ ซิลวา, โฟเด้น, สเตอร์ลิง และ เดอ บรอยน์ คอยทำหน้าที่วิ่งปั่นป่วนเกมรับของ เชลซี ทั้งในแผงกองกลางและแนวรุก ซึ่งสิ่งนี้เป็นจุดเด่นของ แมนฯ ซิตี้ ในการโจมตีแผงกองหลังของ "สิงห์บลูส์" ที่ค่อนข้างจะมีปัญหาในช่วงเวลานี้

จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความเร็วของแนวรุกทีมเยือนสร้างปัญหาให้กับเกมรับของ เชลซี อย่างมาก เพราะพวกเขาไม่สามารถจัดการกับจังหวะสวนกลับเร็วของทีมเยือนได้เลย  ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ครึ่งแรก "เรือใบสีฟ้า" จะยิงประตูหนีห่างไปถึงสามลูก

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีนักเตะที่สามารถจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม แม้จะไม่มีนักเตะสไตล์เบอร์ 9 หรือ "หน้าเป้า" อยู่ในทีมก็ตาม ลองคิดดูหาก "กุน" กับ เชซุส ฟิตสมบูรณ์ เกมบุกของ แมนฯ ซิตี้ จะโหดขนาดไหน

5. แลมพาร์ดเก้าอี้สั่นคลอน

สถานการณ์ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ในเวลานี้ต้องบอกเลยว่ายืนอยู่บนเส้นด้ายที่ข้างล่างเป็นเหวลึก หลังจากที่ เชลซี ผลงานสุดย่ำแย่ 6 เกมลีกหลังสุดพวกเขาแพ้ไปถึง 4 แมตช์ ชนะแค่ 1 และเสมอ 1 เกม โอกาสลุ้นแชมป์ลีกในซีซั่นนี้ เลือนลางเต็มที

ต้องบอกเลยว่าฟอร์มของ "สิงโตน้ำเงินคราม" สวนทางกับเม็ดเงินที่ โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซียเจ้าของสโมสรที่ยอมควักกระเป๋าลงทุนให้กับทีมในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยพวกเขาได้นักเตะชั้นยอดมาร่วมทีมหลายคนทั้งแบบทุ่มเงินซื้อและได้ตัวมาฟรีๆ

การทุ่มเงินไปทะลุ 200 ล้านปอนด์ (ราว 7,600 ล้านบาท) ในการดึงนักเตะอย่าง ซิเย็ค, แวร์เนอร์,ชิลเวลล์,  ฮาแวร์ทซ์  และ เอดูอาร์ เมนดี้ มาเสริมแกร่ง แถมได้ ติอาโก้ ซิลวา มาแบบฟรีๆ แต่ผลงานของทีมในเวลานี้อยู่อันดับ 8 แถมฟอร์มการเล่นก็ไม่ได้ดูดีมีอนาคตพอที่จะฝากความหวังเอาไว้ได้เลย

แม้ "แลมพ์ส" จะบอกว่านี่คือช่วงเวลาแห่งการสร้างทีมใหม่ และการให้โอกาสดาวรุ่ง ฉะนั้นทีมจะต้องเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ แต่สำหรับบอร์ดบริหาร โดยเฉพาะ "เสี่ยหมี" ที่ได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีใจร้อน งานนี้หากผลงานของทีมยังไม่กระเตื้องขึ้นอาจจะได้เห็นข่าวช็อกช่วงต้นปีวัวดุแหงๆ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • แนวรุกโชว์โหด! ตัดเกรดแข้งแมนซิตี้บุกถล่มเชลซีคาบ้าน
    แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โชว์ฟอร์มสุดเทพด้วยการบุกมาสอนบอล เชลซี ถึงถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ แม้จะเป็นเกมที่นักเตะไม่พร้อมหลายคนเนื่องจากมีติดเชื้อโควิด-19 ทว่าหลายคนยังทำผลงานได้ดีโดยเฉพาะแนวรุกที่ทะลวงแนวรับ “สิงห์บบูส์” เละเทะ และนี่คือคะแนนของนักเตะแมนฯ ซิตี้ แต่ละคน
  • แลมพ์สเก้าอี้สั่น! เชลซีเละคารัง-เดอบรอยน์ฮอตพาแมนซิตี้บุกยำ แซงขึ้นที่5
    โควิดก็ทำอะไรทัพเรือไม่ได้! หลังลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โชว์สกิลเกมรุกอันดุดันบุกไปไล่ยำใส่ "สิงห์บลูส์" เละเทะคาบ้าน 3-1 เควิน เดอ บรอยน์ และฟิล โฟเด้น ฟอร์มหรูทั้งยิงและจ่ายก่อนพาทีมคว้าชัยสามนัดติด มี 29 คะแนนเท่ากับสเปอรส์และทอฟฟี่ แต่ลูกได้เสียเป็นรองไก่เดือยทองทำให้รั้งอันดับ 5 ส่วน เชลซี ย่ำแย่แพ้ 4 จาก 6 เกมในลีกล่าสุด รั้งอันดับ 8 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
  • พ่ายมีร่วง! เชลซีหนักฟัดแมนซิตี้มี "พูลิซิช วัดคม สเตอร์ลิง"
    แฟร้งค์ แลมพาร์ด นายใหญ่ "สิงห์บลูส์" ผลงานไม่สู้ดีไม่ชนะใครมาแล้ว 2 เกมติดรั้งอันดับ 6 ความพร้อมไม่มีปัญหาเพิ่ม คริสเตียน พูลิซิช ลงบัญชาทัพ ทางด้าน "เรือใบสีฟ้า" ที่ขาดผู้เล่นหลายรายแต่ไม่แพ้ใครมา 10 นัดรวมทุกรายการวาง ราฮีม สเตอร์ลิง เป็นตัวทีเด็ด ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันอาทิตย์ที่ 3 ม.ค. นี้
  • 5 ทีมมูลค่าสูงสุดพรีเมียร์ลีก
    เซฟเบ็ทติ้งไซส์ เว็บไซต์รวบรวมข้อมูลและการพนันรายหนึ่ง เปิดเผยทีมจาก พรีเมียร์ลีก ที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก โดยที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังเป็นแชมป์ ส่วน ลิเวอร์พูล ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 แทนที่ แมนฯ ซิตี้

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »