ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » แดงเดือดระอุ! 6 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 18

แดงเดือดระอุ! 6 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 18

Posted 16/01/2021 by siamsport

สุดสัปดาห์นี้ พรีเมียร์ลีก กลับมาฟาดแข้งตามโปรแกรมปกติ หลังหลีกทางให้กับฟุตบอล เอฟเอ คัพ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว โดยความมันส์และความน่าสนใจอยู่ที่คืนวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นศึกแดงเดือด ระหว่าง ลิเวอร์พูล เปิดบ้านรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขณะเดียวกัน คู่อื่นๆ จะมีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้าง เราไปดูกันได้เลย
    "ฟูแล่ม-เชลซี"

    สำหรับเกมคู่นี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกบนเวที พรีเมียร์ลีก ที่ทั้งสองทีมเจอกันโดยมีผู้จัดการทีมสัญชาติอังกฤษ ลงคุมทัพ โดย สกอตต์ พาร์คเกอร์ กุนซือของ ฟูแล่ม ลงคุมทีมครั้งแรก คือการคว้าชัยชนะเหนือ เชลซี 2-1 เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2019

    ขณะเดียวกัน "เจ้าสัวน้อย" ไม่แพ้ใครในเกมลีกมาแล้ว 5 นัดติดต่อกัน ทว่าทั้งหมดเป็นการเสมอทุกนัด

    ผลเสมอกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ทำให้ ฟูแล่ม ยุติความพ่ายแพ้เกม ลอนดอน ดาร์บี้ บนลีกสูงสุด 13 นัดติดต่อกัน โดยครั้งสุดท้ายก่อนหน้านี้ที่พวกเขาไม่แพ้เกมดาร์บี้แมตช์อย่างน้อย 2  นัดติดต่อกันนั้นเกิดขึ้นระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนของปี 2013 โดยตอนนั้นชนะเกมดาร์บี้แมตช์ 3 นัดรวด

    เชลซี แพ้ต่อ ฟูแล่ม แค่เกมเดียวจาก 28 นัดที่เจอกัน (ชนะ 17 เสมอ 10) และกว่า 373 นัดระหว่างทีมที่เจอกันอย่างน้อย 50 เกมบนเวทีลีกสูงสุด ทีมที่มีอัตราการชนะต่ำสุดต่ออีกทีมคือ ฟูแล่ม ที่พวกเขามีเปอร์เซนต์ชนะ เชลซี ได้แค่ 6% เท่านั้น

    "เลสเตอร์-เซาธ์แฮมป์ตัน"


    การเจอกันของคู่นี้ 4 เกมหลังสุด ฝั่งที่ได้รับชัยชนะทุกนัดดังกล่าวคือฝั่งที่เล่นเป็นทีมเยือน ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ฝั่งทีมเยือนคว้าชัยในคู่นั้นๆ 5 ครั้งติดต่อกัน คือการเจอกันระหว่าง คริสตัล พาเลซ กับ ลิเวอร์พูล ระหว่างเดือนพฤษภาคม ปี 2015 ถึงเดือนเมษายน ปี 2017

    5 ประตูของ เจมี่ วาร์ดี้ ศูนย์จอมเก๋าของ เลสเตอร์ ที่ยิงใส่ เซาธ์แฮมป์ตัน ทั้งหมดเกิดขึ้นในการออกไปเยือน โดยการเล่นในบ้าน 7 เกม เขามีโอกาสยิง 7 ครั้ง และตรงกรอบแค่ 3 หนเท่านั้นในการเจอกับ "เดอะ เซนต์ส"

    นอกจากนี้ "นักบุญ" ยังไม่แพ้ต่อ "เดอะ ฟ็อกซ์" ในการออกไปเยือน 4 นัดหลังสุดในศึก พรีเมียร์ลีก โดยคว้าชัยได้ 2 เกมด้วยกัน

    ขณะเดียวกัน เซาธ์แฮมป์ตัน ยังมองหาการรักษาคลีนชีต 4 เกมติดต่อกันเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เคยทำไว้ 6 นัดติดเมื่อปี 2016 ซึ่งตอนนี้พวกเขาเก็บคลีนชีตฤดูกาลนี้ไปแล้ว 8 ครั้ง น้อยกว่าเมื่อซีซั่นที่แล้วทั้งซีซั่นนัดเดียวเท่านั้น

    "เชฟฯ ยูไนเต็ด-สเปอร์ส"

    เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แพ้ต่อ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ แค่  2 นัดจากการเจอกัน 11 เกมหลังสุดบนลีกสูงสุด (ชนะ 5 เสมอ 4) โดยเมื่อฤดูกาลก่อน พวกเขาเก็บ 4 แต้มได้จาก "ไก่เดือยทอง"

    "ทีมดาบคู่" จะเป็นทีมแรกต่อจาก เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ช่วงระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2018 ทันทีที่เอาชนะเกม พรีเมียร์ลีก 2 นัดติดต่อกันในฐานะทีมอันดับสุดท้ายของตาราง หากพวกเขาเอาชนะ สเปอร์ส ได้นัดนี้ (นัดก่อนชนะ นิวคาสเซิล 1-0)

    ไม่มีทีมไหนใน พรีเมียร์ลีก อีกแล้วที่จะทำประตูในช่วงครึ่งแรกได้มากกว่า สเปอร์ส (19) รวมถึงการที่พวกเขาเป็นทีมที่ยิงช่วง 15 นาทีมากที่สุดที่ 8 ลูก อย่างไรก็ตามพลพรรค"ไก่เดือยทอง" คือทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในช่วงครึ่งเวลาแรกแค่ 4 ประตูเท่านั้น

    ขณะที่คู่หูมหาประลัย แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึง-มิน ต่างมีโอกาสส่องประตูเข้ากรอบรวมกัน 43 ครั้ง ซึ่งตัวเลขนี้น้อยกว่าผู้เล่นของ เชฟฯ ยูไนเต็ด ทั้งทีมทำรวมกันทั้งซีซั่นแค่ 9 ครั้ง

    "ลิเวอร์พูล-แมนยู"

    เจอร์เก้น คล็อปป์ เตรียมลงคุมทีมใน พรีเมียร์ลีก นัดที่ 200 โดยสถิติที่ผ่านมาเขาพา ลิเวอร์พูล คว้าชัยได้ 127 นัด ซึ่งมีแค่ โชเซ่ มูรินโญ่ เท่านั้นที่คว้าชัยได้มากกว่า(137 นัด) ในจำนวนที่เท่ากัน

    นอกจากนี้ คล็อปป์ ยังเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 10 ของ ลิเวอร์พูล ที่ลงคุมทีมลงเล่นเกมลีกสูงสุดครบ 200 นัด และเป็นผู้จัดการทีมที่พา "หงส์แดง" เก็บชัยชนะในจำนวน 200 นัดแรกได้มากที่สุด

    นี่นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2013 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้ดวลกับ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกในฐานะที่ "ปีศาจแดง" เป็นจ่าฝูง โดยตอนนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังเป็นกุนซือของพวกเขาอยู่ และสุดท้ายแล้วฤดูกาลนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้แชมป์ลีกไปครองด้วย

    มาร์คัส แรชฟอร์ด พังประตูใส่ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 3 ลูกจากการเจอกัน 4 นัดหลังสุด มีแค่ เวย์น รูนี่ย์ (6), แอนดี้ โคล (4) และ ไรอัน กิ๊กส์ (4) เท่านั้นที่ทำประตูใส่ "หงส์แดง" ได้มากกว่าเขา

    "แมนฯ ซิตี้-คริสตัล พาเลซ"

    มีแค่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (11) ทีมเดียวเท่านั้นที่ไม่แพ้ใครในลีกยาวนานกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (8) โดยในจำนวนนัดดังกล่าว "เรือใบสีฟ้า" เสียไปแค่ 2 ประตู และเก็บคลีนชีตได้ถึง 6 เกม

    เควิน เดอ บรอยน์ มีส่วนร่วมกับประตู 8 ครั้ง จาก 10 นัดที่เจอกับ พาเลซ โดยทำได้ 2 ประตู และแอสซิสต์ 6 ครั้ง ซึ่งมีแค่ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่แข้งเบลเจี้ยนรายนี้มีส่วนร่วมกับประตูได้มากกว่า (2 ประตู 7 แอสซิสต์)

    ขณะเดียวกัน "ดิ อีเกิลส์" มีสิทธิ์เป็นทีมแรกที่สามารถบุกเอาชนะ 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ ได้ในฤดูกาลเดียวกัน นับตั้งแต่ที่ ลิเวอร์พูล เคยทำไว้เมื่อฤดูกาล 2008/09 และจะเป็นทีมจากลอนดอนทีมแรกที่ทำได้อีกด้วย

    ทีมของ รอย ฮ็อดจ์สัน ไม่แพ้ในการออกไปเยือนถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม 2 เกมหลังสุด (ชนะ 1 เสมอ 1) ซึ่งหากพวกเขาหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ได้ในนัดนี้ จะทำให้พวกเขาเป็นทีมแรกที่ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งเกมในบ้านทีมเดียวกันได้ 3 นัดติดต่อกัน

    "อาร์เซน่อล-นิวคาสเซิล"

    อาร์เซน่อล เอาชนะ นิวคาสเซิล ได้ถึง 14 เกมจาก 15 นัดหลังสุดที่เจอกัน (แพ้ 1)

    ขณะเดียวกัน "เดอะ กันเนอร์ส" สามารถเก็บคลีนชีตใน พรีเมียร์ลีก กับการเจอ "เดอะ แม็กพายส์" ได้ถึง 25 นัด ซึ่งมีแค่ แมนฯ ยูไนเต็ด เท่านั้นที่ไม่เสียประตูต่อทีมทีมหนึ่งได้มากกว่า (สเปอร์ส และ แอสตัน วิลล่า 27 นัด)

    ไม่มีทีมไหนอีกแล้วที่ แอนดี้ แคร์โรลล์ จะทำประตูได้มากกว่าในการเจอกับ อาร์เซน่อล โดยเจ้าตัวซัดไป 5 ประตู ซึ่ง แคร์โรลล์ ก็เป็นนักเตะสาลิกาดงคนสุดท้ายที่ทำประตูชัยใส่ "ปืนใหญ่" ได้ เมื่อวันที่พฤศจิกายน ปี 2010

    อย่างไรก็ตาม นิวคาสเซิล เอาชนะ 5 จาก 9 นัดเยือนหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก ยามเมื่อออกไปเยือนทีมในกรุงลอนดอน (เสมอ 1 แพ้ 3)

 

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »