ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » ลิเวอร์พูลขาลง VS แมนยูฟอร์มโหด!เจาะ 5 ประเด็นก่อนศึก "แดงเดือด" โคตรอันตราย

ลิเวอร์พูลขาลง VS แมนยูฟอร์มโหด!เจาะ 5 ประเด็นก่อนศึก "แดงเดือด" โคตรอันตราย

Posted 17/01/2021 by siamsport

ศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะระเบิดขึ้นช่วงกลางดึงวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคมนี้ ต้องบอกว่า "ผีแดง" ค่อนข้างมีความฮึกเหิมมากๆ ทั้งเรื่องสภาพร่างกายของนักเตะที่ฟิตสมบูรณ์ และสภาพจิตใจที่กำลังกล้าแกร่งพร้อมฟัด "หงส์แดง" เต็มสูบ
    สำหรับ "เดอะ เร้ดส์" ตอนนี้คงต้องพึ่งพากึ๋นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในการวางแท็กติกให้ดีที่สุดด้วยขุมกำลังที่มีอยู่ในมืออย่างจำกัด อย่างไรก็ตามแมตช์นี้เจ้าบ้านอาจจะโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดหาก ติอาโก้ อัลกันตาร่า สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้

    ผลการแข่งขันในเกมนี้เป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญเพราะไม่ว่าทีมใดทีมหนึ่งคว้าชัยชนะได้ จะส่งให้อีกทีมอาจจะเสียอาการขาดความมั่นใจก็ได้ แต่หากพวกเขาทำได้แค่เสมอ โปรดระวัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาไว้ให้ดีๆ เพราะอาจจะสวมบท "ตาอยู่" เมื่อจบฤดูกาลนี้

1. ขุมกำลังเชิงลึกในแนวรุกต่างกัน

    หากย้อนไปช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่มีกองหลังทีมไหนอยากเจอกับ ลิเวอร์พูล เพราะสามประสาน "เอสเอ็มเอฟ" (SMF) โหดจัดปลัดบอก ไม่ว่าจะบุกมาทางฝั่งซ้าย, ขวา และตรงกลาง ก็ต้องบอกว่าอันตรายทุกนาที

    สำหรับในฤดูกาลนี้ความคมของพวกเขายังคงมีอยู่ เพราะมีกำลังเสริมที่ยอดเยี่ยมอย่าง ดีโอโก้ โชต้า ที่เข้ามาเติมเต็มเกมรุกของ "หงส์แดง" ให้มีมิติในการเข้าทำที่หลากหลาย แต่หลังจากที่เขาได้บาดเจ็บส่งผลกระทบอย่างแรงต่อแท็กติกในการวางหมกของ คล็อปป์ เพราะตัวเลือกที่มีอยู่นอกจาก "หิน เหล็ก ไฟ) แล้ว ทาคุมิ มินามิโนะ กับ ดิว็อค โอริกี้ ยังห่างชั้นเหลือเกิน

    ที่สำคัญ 3 เกมลีกหลังสุดพวกเขายิงได้แค่ประตูเดียว ในขณะที่เกมกับ แอสตัน วิลล่า ในศึกเอฟเอ คัพ แนวรุกก็เล่นไม่เป็นชิ้นเป็นอันกว่าเจาะตาข่าย "สิงห์ผงาดจูเนียร์" ก็แทบรากเลือด ที่เห็นสกอร์ชนะเยอะ นั่นเป็นเพราะคุณภาพของนักเตะมากกว่าการสร้างสรรค์เกมรุก

    สวนทางกลับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เกมรุกอาจจะไม่ได้ดุดันในช่วงต้นซีซั่น แต่ตอนนี้พวกเขาฟอร์มร้อนแรงสุดๆ ทั้ง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด เล่นกันได้อย่างเข้าขา แถมยังมีทักษะแล้วความรวดเร็ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยให้ "ผีแดง" สามารถไล่ต้อนคู่แข่งได้ตลอดเวลา

    ในขณะที่ซุ้มม้านั่งสำรองของพวกเขายังมีดาวรุ่งฟอร์มฮอตอย่าง เมสัน กรีนวู้ด แม้ช่วงที่ผ่านมาฟอร์มอาจจะตกไปบ้าง แต่อย่างลืมว่านักเตะคนนี้มีความสามารถเจาะตัวและความเร็วจัดจ้าน สามารถลงมาช่วยสร้างความแตกต่างได้

    ส่วน เอดินสัน คาวานี่ ที่มีทั้งประสบการณ์ และความเฉียบคมในการยิงประตู สามารถลงเล่นเป็นตัวจริงก็ได้ หรือจะลงมาเป็นตัวสำรองเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับทีมก็ดี และเขาก็แสดงให้เห็นมาแล้วหลายนัดทั้งในเกมลีก และเอฟเอคัพ ยกตัวอย่างแมตช์ที่พลิกนรกชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน เป็นต้น

    ฉะนั้นต้องยอมรับว่าขุมกำลังแนวรุกในเชิงลึกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่ากลัวมากกว่า ลิเวอร์พูล ในเวลานี้จริงๆ

2. รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในเกมรับสร้างความแตกต่าง
    แม้ว่าตอนนี้หลายคนจะมองว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีเกมรับที่แข็งแกร่งกว่าคู่อริร่วมชาติ โดยเฉพาะเมื่อ "ผีแดง" ได้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กับ เอริก ไบยี่ ยืนเป็นคู่หูเซ็นเตอร์แบ็ก มันช่างเป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกินที่แนวรุกคู่แข่งจะบุกเข้ามาเจาะตาข่ายได้

    ส่วนฟูลแบ็กในตอนนี้ อารอน วาน-บิสซาก้า กับ ลุค ชอว์ หรือ อเล็กซ์ เตลลิส กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มขึ้น ในเรื่องเกมรับ วาน-บิสซาก้า เชื่อขนมกินได้ส่วนเกมรุกก็กำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ ชอว์ กับ เตลลิส ถือเป็นตัวเลือกที่ โซลชา ต้องตัดสินใจว่าจะส่งใครลงสนาม แต่หากเป็นแข้งเลือดบราซิเลียน จะทำให้ "ปีศาจแดง" มีทีเด็ดในจังหวะตั้งเตะโดยเฉพาะลูกเตะมุม

    พอหันไปมองฝั่ง ลิเวอร์พูล แน่นอนว่าสาวก "เดอะ ค็อป" คงได้แต่กุมขมับ เพราะทุกวันนี้ยังต้องใช้ ฟาบินโญ่ ยืนเป็นเซนเตอร์แบ็กจำเป็น ส่วน โฌเอล มาติป ก็ต้องลุ้นเฮือกสุดท้ายว่าจะฟิตพร้อมเล่นเกมนี้ไหม ถ้าลงได้ "หงส์แดง" ยังพออุ่นใจ แต่ถ้าลงไม่ได้ คล็อปป์ ก็ต้องเลือกว่าจะใช้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หรือให้โอกาสสองดาวรุ่ง รีส วิลเลี่ยมส์ กับ นาธาเนียล ฟิลปินส์

    ด้าน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในเวลานี้ก็ต้องบอกว่าฟอร์มตกสุดๆ เกมรุกที่เคยโดดเด่นก็หายไปหมด เกมรับที่ว่าแย่ๆ ก็อาการหนักเข้าไปอีก งานนี้เจ้าตัวได้เจอ แรชฟอร์ด บทสอบฝีเท้าแหงๆ ส่วน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังพอจะไว้วางใจได้บ้างในเกมรับ แต่เกมรุกแม้จะขึ้นไปเปิดบอลได้บ่อยๆ แต่ไม่ค่อยแม่นยำเหมือนเมื่อก่อน

    สำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตู เจ้าบ้านได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่พอจะไว้วางใจได้มากที่สุดในเกมรับ ส่วน แมนฯ ยูฯ บอกเลยว่า ดาบิด เด เคอา กลับมาเป็นจอมหนึบคนเดิมอีกครั้ง และหากไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ การจะส่งบอลผ่านมือเขาไปซุกก้นตาข่ายไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่นอน

    ดังนั้นแมตช์นี้ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย หรือการเล่นที่ขาดสมาธิอาจจะเป็นตัวชี้วัดผลการแข่งขันได้เลย

3. สองเพลย์เมกเกอร์วัดกึ๋นการวางบอล
     สำหรับศึก "แดงเดือด" ในครั้งนี้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะสร้างสิ่มหัศจรรย์เหมือนที่เขาช่วย แมนฯ ยูไนเต็ด มาตลอดนับตั้งแต่ที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคมปี 2020 จนตอนนี้เขาคือหัวใจสำคัญของทีมไปเรียบร้อยแล้ว

     จอมทัพชาวโปรตุกีส เป็นนักเตะคีย์แมนในยุค โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุมบังเหียน หลายๆ เกมที่ผ่านมาเขาสามารถสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตูได้เรื่อยๆ ที่สำคัญเจ้าตัวยังเป็นเพชณฆาตเคราดกที่ขันอาสาสังหารจุดโทษได้อย่างเฉียบคมด้วย

      นับตั้งแต่ บรูโน่ ย้ายเข้ามาคุมแดนกลางของ แมนฯ ยูไนเต็ด จนกระทั่งจบฤดูกาล 2019/20 มีตัวเลขสถิติออกมาคือ 7 แอสซิสต์ และสอยตาข่ายไป 8 ลูก จากการลงเล่นเพียง 14 เกมเท่านั้น และทุกเกมที่มี บรูโน่ อยู่ในสนาม "ปีศาจแดง" สามารถเก็บแต้มได้ทุกนัด แบ่งเป็น ชนะ 9  เสมอ 5

     เมื่อเข้าสู่ซีซั่น 2020/21  บรูโน่ ฟอร์มยังดีวันดีคืน ณ ตอนนี้ เจ้าตัวมีชื่อบนสอร์บอร์ดไปแล้ว 11 ประตู แถมแอสซิสต์อีก 7 หนซึ่งรวมเดือนส่งท้ายปี 2020 เขาทำไป 3 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ จนคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกประจำเดือนธันวาคม แถมยังได้ 2 เดือนติด และสร้างประวัติศาสตร์ได้ 4 เดือนในรอบปีปฎิทินเดียว (กุมภาพันธ์, มิถุนายน, พฤศจิกายน และ ธันวาคม ปี 2020)

     ขณะที่แดนกลางของ ลิเวอร์พูล ต้องบอกว่ามีแต่ผู้เล่นชั้นเชิง ไม่มีพวกทีเด็ดเป็นมันสมองของทีม ทั้ง เฮนเดอร์สัน กับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม เป็นนักเตะประเภทตัวเชื่อมเกมมากกว่าจะเป็นเพลย์เมกเกอร์ ส่วน ติอาโก้ อัลกันตาร่า ซึ่งฟอร์มกำลังดีวันดีคืน และน่าจะเป็นผู้เล่นจอมทัพที่ "หงส์แดง" ฝากความหวังในการจ่ายบอลสร้างโอกาสให้เกมรุกได้มีลุ้นทำประตู

     จริงๆ แล้วหากวัดเรื่องประสบการณ์และศักยภาพแน่นอนว่า ติอาโก้ เหนือกว่า บรูโน่ หลายขุม แต่ด้วยการที่ ดาวเตะชาวสแปนิช เพิ่งจะฟิตสมบูรณ์ และยังตัวปรับตัวกับสไตล์การเล่นแบบอังกฤษ ทำให้เขาเป็นรอง ดาวเตะเลือดฝอยทอง ในจุดนี้เท่านั้น 


4. เจ้าพ่อทีมเยือนวัดพลังเทพเจ้าบ้าน
     ลิเวอร์พูล สร้างประวัติศาสตร์ให้กับสโมสรด้วยการที่พวกเขาไม่แพ้ใครเลยในการเล่นที่แอนฟิลด์ นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2017 หรือกว่า 3 ปีเข้าไปแล้ว แต่ในช่วงหลังๆ พวกเขาฟอร์มไม่ค่อยคงเส้นคงวา ทำให้การเจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเหมือนกัน

     หนึ่งในเหตุผลที่ แอนฟิลด์ เป็นดั่งป้อมปราการเหล็กมาจากผู้เล่นคนที่ "12" หรือเหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" ที่เข้าไปส่งเสียงกระตุ้นนักเตะทีมรักให้วิ่งสู้ฟัด และทำให้คู่แข่งต้องเข่าอ่อน จนสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ แม้ในช่วงโควิด-19 ระบาดทำให้แฟนบอลโดนห้ามเข้า แต่มนต์ขลังของพวกเขาก็ยังทำให้บรรดาอาคันตุกะหวาดผวา

     กระนั้นการที่ไม่มีแฟนบอลเข้าสนามมานานเกือบปี ดูเหมือนว่าทุกๆ ทีมเริ่มจะปรับตัวกับการไม่หวาดกลัวสนามแห่งนี้ เพราะไม่มีกองเชียร์คอยหนุนหลังเจ้าบ้าน ทำให้มีหลายเกมที่พวกเขาต้องเจอกับความยากลำบากในการยิงประตูหรือเก็บ 3 แต้ม เห็นได้ชัดในแมตช์เสมอ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เป็นต้น

 

     เหมือนกับที่ โซลชา ให้สัมภาษณ์ก่อนเกม "เร้ด วอร์" ว่า ลิเวอร์พูล ขาดความได้เปรียบจากการไม่มีกองเชียร์ในช่วงนี้ และทำให้ทุกๆ สโมสรเท่าเทียมกัน ดังนั้นในกรณีนี้ถือว่า "หงส์แดง" เสียความได้เปรียบไปเยอะ

     สวนทางกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ฟอร์มโหดมากในการเล่นเกมเยือน โดยสามารถเก็บได้ถึง 22 คะแนนจาก 24 แต้ม คว้าชัยชนะ 7 จาก 8 เกมเยือน (เสมอ เลสเตอร์ ซิตี้) ฉะนั้นพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำให้เจ้าบ้านต้องน้ำตาตก

     ดีไม่ดี "น้าลูกอม" จะนำทัพ "ผีแดง" สร้างรอยแผลที่แสนเจ็บปวดให้กับเจ้าบ้าน ด้วยการทำลายสถิติไร้พ่ายในบ้านของพวกเขาก็ได้

 

5. ผลการแข่งขันมีผลต่อการลุ้นแชมป์
     เกมนี้นอกจากจะเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของสองทีมที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษแล้ว ผลการแข่งขันมีผลอย่างยิ่งในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้ แม้หลายคนอาจจะมองว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ แต่ต้องบอกว่าชัยชนะ แพ้ เสมอ อาจจะทำให้เกิดจุดเปลี่ยนก็ได้

     หากเช็คจากตารางลีกในเวลานี้แม้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะรั้งตำแหน่งจ่าฝูง ด้วยผลงาน 17 เกม เก็บไป 36 คะแนน แต่หากพวกเขาพลาดท่าให้ ลิเวอร์พูล นั่นหมายความว่าแชมป์เก่าจะทำแต้มขึ้นมาเท่ากันพร้อมกับแซงหน้าขึ้นเป็นจ่าฝูงแทนด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่าเยอะ

     อย่างไรก็ตามหาก "ปีศาจแดง" เก็บ 3 คะแนนได้พวกเขาจะทำแต้มทิ้งห่าง ลิเวอร์พูล ถึง 6 คะแนน แม้เหลือการแข่งขันกว่าครึ่งหนึ่งก็ตาม แต่แรงกดดันมหาศาลจะถาโถมเข้าใส่ "เดอะ เร้ดส์" ทันที เพราะพวกเขาจะพลาดท่าไม่ได้อีก ไม่งั้นยากจะไล่ตาม แมนฯ ยูฯ ทัน

     กระนั้นหากผลออกมาเสมอ คนที่นั่งยิ้มก็คือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพราะตอนนี้เขานำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ค่อยๆ ขยับกลับมาลุ้นแชมป์แบบเงียบๆ อีกครั้ง โดยมี 32 คะแนน แต่แข่งน้อยกว่าทั้ง 2 ทีม 1 แมตช์ และหากศึกแดงเดือดจบลงด้วยการแบ่งแต้ม นั่นหมายความว่าโอกาสทองจะกลับมาอยู่ที่ "เรือใบสีฟ้า" ทันที

     งานนี้ตาอินกับตานาแข่งกันโม้ เกทับกันมันปาก แต่สุดท้ายตาอยู่คว้าพุงปลาไปกิน บอกได้คำว่า "โคตรเจ็บใจ"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »