ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ลีกคัพอื่นๆ » เรียกความมั่นใจหรือบรรลัยเข้าไปอีก ! เปิด 5 ประเด็นก่อน "แดงเดือด" ฉบับ เอฟเอ คัพ

เรียกความมั่นใจหรือบรรลัยเข้าไปอีก ! เปิด 5 ประเด็นก่อน "แดงเดือด" ฉบับ เอฟเอ คัพ

Posted 24/01/2021 by siamsport




ลิเวอร์พูล ยังคงอยู่ในช่วงฟอร์มขาลงอย่างหนักในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างไรก็ตามแมตช์เยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ศึกเอฟเอ คัพ รอบ 4 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ "หงส์แดง" ในฤดูกาลนี้
     "เดอะ เร้ดส์" ไม่ค่อยถูกโฉลกกับรายการนี้มากนัก เพราะนับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียน ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2015 พวกเขาไม่เคยไปได้ไกลกว่า รอบ 5 เลย ฉะนั้นการมาเยือน "ผีแดง" ด้วยสภาพทีมที่ขาดความมั่นใจสุดๆ พวกเขาย่อมเสียเปรียบแน่นอน

     ผสมกับสถิติในการดวลกันในฟุตบอลถ้วยเก่าแก่ที่สุดของโลก แมนฯ ยูไนเต็ด มีดีกรีดีกว่าผู้มาเยือนเยอะมาก และเป็นฝ่ายเขี่ยพวกเขาตกรอบถึง 9 ครั้ง กระนั้นด้วยศักด์ศรีของทั้งสองทีม ลิเวอร์พูล คงสู้แบบถวายหัวเพื่อเอาชนะให้ได้

     อย่าลืมว่าการชนะคู่อริตลอดกาลย่อมนำไปสู่จิตใจที่กลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง ในทางกลับกันหากต้องพ่ายแพ้ งานนี้ "หงส์แดง" มีสิทธิ์ที่จะกู่ไม่กลับเลยทีเดียว

 

1. วิกฤติสภาพจิตใจที่สุดย่ำแย่
     ตอนนี้สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ไม่ต่างอะไรกับคนที่ขาดความมั่นใจ เพราะผลงานที่ชนะใครไม่เป็นเลยในเกมลีก 5 แมตช์ติดต่อกัน และยิงประตูไม่ได้ 4 เกมรวด ส่งผลต่อสภาพจิตใจของทัพ "หงส์แดง" อย่างยิ่งโดยเฉพาะบรรดาผู้เล่นตัวรุก

     อย่างในเกมล่าสุดที่แพ้ เบิร์นลี่ย์ ขนาด ดิว็อก โอริกี้ หลุดเดี่ยวไปดวลกับผู้รักษาประตู ยังซัดบอลไปชนคาน ทั้งๆ ที่หากเป็น "เดอะ เร้ดส์" ในช่วงสภาพจิตใจแข็งแกร่งจังหวะแบบนั้นใส่สกอร์เป็นประตูขึ้นนำแน่นอน



     ฉะนั้นนี่จึงเป็นปัญหาที่ คล็อปป์ ต้องรีบแก้ไขเป็นการด่วน เพราะเรื่องฟอร์มการเล่นต้องบอกเลยว่า "หงส์แดง" ยังเหนือกว่าคู่แข่งทั้ง 5 แมตช์ที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ขาดหายไปก็คือความเฉียบคมในการยิงประตู โดยเฉพาะ 3 ประสาน "หิน เหล็ก ไฟ" ที่ฟอร์มถูกขโมยไปนับตั้งแต่ช่วยทีมถล่ม คริสตัล พาเลซ

     จะเห็นได้ชัดว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ครองเกม และกดดันคู่แข่งได้ตลอด แต่พวกเขามาดับสนิทเมื่อเข้าสู่พื้นที่สุดท้าย ทั้ง ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เล่นกันราวกับไม่ได้ซ้อม การสอดประสานที่เคยมองตารู้ใจไม่มีให้เห็น แถมจังหวะยังขาดๆ เกินๆ จนทำให้ทีมเสียโอกาสในการยิงประตู

     ที่สำคัญจังหวะการครอสบอลจากริมเส้นที่กดดันคู่แข่งได้ตลอดแต่ตอนนี้ทั้ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับ เทนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่สามารถทำได้เลยตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสยันปีใหม่ ตอนนี้ดูเหมือนคู่แข่งจับทางการเล่นของแชมป์เก่าได้หมดแล้ว ด้วยเหตุนี้ คล็อปป์ จึงต้องรีบหาทางแก้เป็นการด่วนไม่งั้นเกมที่โอลด์ แทร็ฟอฟร์ด อาจจะต้องน้ำตาตกก็ได้
 


2. โอกาสย่ำยีขยี้แหลกคู่อริตลอดกาลให้จมดิน
     สำหรับแฟนบอล "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงคิดเหมือนกันว่านี่คือโอกาสทองที่พวกเขาจะจัดการทำลายความมั่นใจของ ลิเวอร์พูล ให้หมดสิ้น และทำให้พวกเขาต้องจมปลักอยู่กับฟอร์มที่ต่ำเตี้ยเลียดดินต่อไป

     เกม "แดงเดือด" ที่แอนฟิลด์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ "หงส์แดง" จะมีสถิติในการครองเกมที่เหลือกว่าก็ตาม แต่พวกเขาแทบจะไม่สามารถสร้างโอกาสทำให้ กองหลังและ ดาบิด เด เคอา ต้องเหนื่อยอะไรมากนัก เพราะเวลาที่ต่อเกมขึ้นมา ทุกอย่างจะจบลงด้วยการเปิดบอลติดแนวรับ หรือไม่ก็เสียบอลง่ายๆ ทำให้แทบไม่มีโอกาสในการจบสกอร์ด้วยซ้ำ



     เรื่องขุมกำลังของทั้งสองทีมต้องบอกว่าไม่ได้มีความต่างกันมากนัก แต่ "หงส์แดง" อาจจะเสียเปรียบนิดหน่อยตรงเรื่องแนวรับที่พวกเขาไม่ได้ใช้งานเซนเตอร์แบ็กที่ดีที่สุด ในขณะที่ "ผีแดง" ต้องบอกว่าทั้ง แฮร์รี่ แม็กไกวร์, เอริค ไบยี่ และ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ อยู่ในช่วงฟอร์มแกร่งสุดๆ

     ในส่วนของแดนกลาง ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กับ ปอล ป็อกบา แต่สำหรับแนวรุกในเวลานี้คงต้องยกให้ฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เหนือกว่าหลายเท่าทั้งฟอร์มการเล่นและสภาพจิตใจ

     เอดินสัน คาวานี่, มาร์คัส แรชฟอร์ด, อองโตนี่ มาร์กซิยาล และ เมสัน กรีนวู้ด ดูมุมไหนแล้วก็เหนือกว่าสามประสาน "เอสเอ็มเอฟ" (SMF) แถมกำลังสำรองอย่าง ดิว็อค โอริกี้ และ ทาคุมิ มินามิโนะ ยังไม่สามารถทดแทนได้ ขณะที่ ดีโอโก้ โชต้า ที่น่าจะพึ่งพาได้ดีที่สุดในยามวิกฤติก็ดันบาดเจ็บต้องรอช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงจะกลับมาลงสนามได้

     ฉะนั้นการได้เล่นในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด พร้อมกับความมั่นใจเต็มเปี่ยม จึงเป็นโอกาสทองที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะจัดการฝัง ลิเวอร์พูล ให้จมมิด ที่สำคัญยังเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในการทะยานสู่การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในรอบ 8 ปีด้วย

 

3. อาถรรพ์เอฟเอ คัพ ที่ คล็อปป์ ต้องผ่านไปให้ได้
     นอกจากผลงานในลีกที่ไม่ค่อยน่าอภิรมณ์สะกดคำว่าชนะไม่เป็นมาตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ผลงานในศึกเอฟเอ คัพ ของ ลิเวอร์พูล ในยุคที่ คล็อปป์ ก้าวเข้ามากุมบังเหียน "หงส์แดง" ก็ไม่ค่อยสวยหรูเท่าไหร่นัก

     คล็อปป์ มีสถิติที่โดดเด่นมากๆ นับตั้งแต่ที่เข้ามารับตำแหน่งนายใหญ่แห่งถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อปี 2015 อย่างไรก็ตามสิ่งที่ นายใหญ่ชาวเยอรมัน ยังไม่สามารถทำได้ดีเหมือนกับเกมลีก และเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นั่นก็คือศึกเอฟเอ คัพ ที่ดูเหมือนเป็นเส้นขนานกับเขาเหลือเกิน


     ตลอดระยะเวลาที่ คล็อปป์ คุมทัพ "เดอะ เร้ดส์" พวกเขาไปได้ไกลที่สุดเพียงแค่รอบ 5 เท่านั้นและก็ทำได้แค่ครั้งเดียวเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ก่อนจะโดน "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี จัดการยัดเยียดวามปราชัยไปอย่างน่าเจ็บปวด

     ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล ในยุค คล็อปป์ ก็โดนทั้ง "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, "หมาป่า" วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ (2 ครั้ง) และ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน จัดการเขี่ยตกรอบมาแล้วในการแข่งขันฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

     ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เพราะพวกเขาคว้าชัยชนะในบ้านกับการเล่นศึกเอฟเอ คัพ 7 ครั้งหลังสุดโดยที่ไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว แถมครั้งสุดท้ายที่พวกเขาไร้ชัยใน "โรงละครแห่งความฝัน"กับการแข่งขันรายการนี้เกิดขึ้นเมื่อซีซั่น 2015/2016 รอบ 16 ทีมสุดท้าย เสมอ เวสต์แฮม 1-1 (ก่อนที่แมนยู บุกชนะนอกบ้านเกมรีเพลย์)

     ดังนั้นเกมนี้ คล็อปป์ คงต้องเจอกับงานสุดรากเลือด เพราะทั้งฟอร์มที่ย่ำแย่กอปรกับทีมไร้ความมั่นใจ ผสมสถิติที่ไม่ค่อยดีนัก โอกาสที่เขาจะต้องทนเจ็บปวดกับอาถรรพ์ในรายการนี้ต่อไปมีค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

 

4. สถิติ "แดงเดือด" ฉบับเอฟเอ คัพ แมนยู ข่มมิดด้าม
     แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อฟุตบอลถ้วยรายการนี้อยู่แล้ว เพราะพวกเขาครองแชมป์มาแล้ว 12 ครั้งเป็นรองแค่ อาร์เซน่อล ที่คว้าแชมป์ไปแล้ว 14 สมัย ดังนั้นในการปะทะกับ ลิเวอร์พูล ที่อยู่ในช่วงฟอร์มกระท่อนกระแท่น ย่อมมีโอกาสที่จะตอกย้ำคู่อริตลอดกาลให้เสียขวัญเข้าไปอีก

     สถิติทุกรายการที่ทั้งสองทีมปะทะกันต้องยอมรับว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เหนือกว่าโดยตลอด 205 เกมที่พวกเขาดวลกันนับตั้งแต่ปี 1894 "ปีศาจแดง" ชนะ 80 เกมขณะที่ "หงส์แดง" สอยไป 67 แมตช์ ที่เหลือ 58 เกมรวมทั้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จบลงด้วยผลเสมอ



     อย่างไรก็ตามหากมองไปที่การแข่งขันเอฟเอ คัพ 17 แมตช์ก่อนหน้านี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการเจอกับ "เดอะ เร้ดส์" โดย แมนฯ ยูฯ ชนะ 9 แมตช์ และเสมอกัน 4 เกมเท่านั้น ขณะที่ ลิเวอร์พูล ชนะในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ครั้งล่าสุดต้องย้อนไปเมื่อปี 2014 ด้วยสกอร์ 3-0

     ยิ่งไปกว่านั้นจากสถิติที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล โดนแมนฯ ยูไนเต็ด เขี่ยตกรองมากกว่าทีมอื่นๆ ด้วย ( 9 ครั้ง) ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า คล็อปป์ เจอกับปัญหาใหญ่แน่นอนในการดวลกับ "เร้ด เดวิลส์" โดยที่พวกเขายิงประตูไม่ได้เลยมานานกว่า 7 ชั่วโมงในเกมพรีเมียร์ลีก

     ส่วนประตูที่่ ลิเวอร์พูล ทำได้ในปี 2021 ก็คือแมตช์ไล่ต้อน แอสตัน วิลล่า ชุดอายุไม่เกิน 21 และ 18 ปี ในศึกเอฟเอ คัพ รอบที่ผ่านมา ด้วยฟอร์มแบบนี้ "หงส์แดง" เป็นรองค่อนข้างเยอะ แต่คำว่าเกมน็อกเอาต์อะไรๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้
 


5. ฟื้นคืนชีพหรือดำดิ่งลงเหว
      ประโยคเด็ดที่มีการกล่าวถึงบ่อยที่สุดในตอนนี้ก็คือจุดเปลี่ยนวิกฤติของ ลิเวอร์พูล คือการเก็บชัยชนะให้ได้ และในศึก "เร้ด วอร์" ฉบับบอลน็อกเอาต์ คือโอกาสสำคัญที่ คล็อปป์ จะนำลูกทีมผ่าวิฤกติร้ายในครั้งนี้ไปให้ได้



     การบุกชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ย่อมเป็นการสร้างขวัญกำลังใจที่ดีมากๆ ให้กับบรรดาขุนพล "หงส์แดง" เพราะในแมตช์ต่อไปเป็นเกมลีกที่ต้องพบกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ หากพวกเขายังไม่ฟื้นมีหวังได้น็อกจนกรรมการนับสิบก็ลุกไม่ขึ้นแหงๆ

     ในทางกลับกันหาก ลิเวอร์พูล ไม่สามารถบดขยี้คู่อริร่วมชาติให้ดับแดดิ้นคาบ้านของพวกเขาได้ละก่อน งานนี้ความมั่นใจยิ่งดำดิ่งลงไปอีก และสถานการณ์จะเลวร้ายหนักขึ้น จนอาจลามไปถึงการแข่งขันทุกรายการที่เหลืออยู่ของพวกเขาในฤดูกาลนี้ก็ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »