ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » เจอร์เก้น คล็อปป์ กับการเผชิญพายุที่ แอนฟิลด์ อีกครั้ง

เจอร์เก้น คล็อปป์ กับการเผชิญพายุที่ แอนฟิลด์ อีกครั้ง

Posted 25/01/2021 by siamsport

3 เกมจากทุกรายการ คือจำนวนนัดที่ ลิเวอร์พูล สามารถเก็บชัยชนะได้จากการลงเล่น 11 นัดหลังสุด โดยในส่วนที่เหลือแบ่งเป็นการแพ้ 3 เกม กับเสมออีก 5 หน ถ้าเจาะลึกลงไปอีกก็จะพบว่าในจำนวนนั้นเป็นการชนะในลีกเพียงแค่ 2 เกมจากเกม พรีเมียร์ลีก 8 นัด
   

ใช่ นี่ไม่ใช่ ลิเวอร์พูล ที่โชว์ฟอร์มได้น่าหวาดกลัวในช่วงหลายฤดูกาลก่อนที่ถึงขนาดก้าวไปเป็นทั้งแชมป์ยุโรปและแชมป์ลีกของอังกฤษได้ จริงอยู่ว่ามันมีหลายปัจจัยที่ทำให้พวกเขามีผลงานแบบนี้ อย่างเช่นการที่แกนหลักหลายคนได้รับบาดเจ็บและฟอร์มตก แต่ก็ปฏฺิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล คงเครียดพอตัว

ถึงกระนั้น นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ คล็อปป์ เผชิญกับช่วงที่ ลิเวอร์พูล มีผลงานแย่ติดๆ กันแบบนี้ ก่อนที่จะก้าวข้ามมันมาได้ และวันนี้เราจะไปย้อนดูกันว่ามีครั้งไหนบ้างที่ "หงส์แดง" ของเขาเคยเข้าขั้นอาการน่าเป็นห่วง แต่ยังสามารถปลุกให้ทีมกลับมาได้อีกครั้ง

: เมษายน 16-พฤษภาคม 16
แม้จะเพิ่งเข้ามาคุมทีมในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2015 แต่ คล็อปป์ ก็สามารถนำทีมไปได้ไกลจนถึงนัดชิงชนะเลิศของศึก ยูฟ่า ยูโรปา ลีก และในรายการ ลีก คัพ แม้ว่าจะชวดแชมป์ในศึก ลีก คัพ ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2016 แต่มันก็ไม่ถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวที่รุนแรงอะไรมากนัก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 2015-16 ลิเวอร์พูล ที่เคยเล่นได้ร้อนแรงกลับมาเครื่องสะดุด ชนะเพียงแค่ 2 เกมจาก 11 นัดสุดท้ายของซีซั่นดังกล่าว และที่สำคัญคือหนึ่งในนัดที่พวกเขาไม่ชนะนั้นได้แก่เกม ยูฟ่า ยูโรปา ลีก นัดชิงดำกับ เซบีย่า จนทำให้ คล็อปป์ ต้องชวดแชมป์แบบน่าเสียดาย

ถึงกระนั้น พอเริ่มฤดูกาลใหม่ คล็อปป์ ก็พาทีมทำผลงานได้สุดยอดด้วยการแพ้แค่ 1 นัดจาก 17 เกมแรกของซีซั่น 2016-17 โดยเกมเดียวที่แพ้ก็คือเกมลีกที่ปราชัยต่อ เบิร์นลี่ย์ 0-2

 : มกราคม 17-กุมภาพันธ์ 17
คล็อปป์ เริ่มปี 2017 ด้วยการพาทีมเสมอ ซันเดอร์แลนด์ 2-2 ในลีก แน่นอนว่ามันทำให้สาวก ลิเวอร์พูล เสียดายอยู่บ้างเมื่อพิจารณาถึงการที่ 1 นัดก่อนหน้านั้นพวกเขาเพิ่งปราบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในลีกได้หมาดๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สีกแย่มากนัก

 น่าเศร้าที่แท้จริงแล้วเกมเจ๊ากับ "แมวดำ" คือลางแห่งหายนะ เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของการชนะเพียง 2 เกมจาก 12 นัดติดต่อกันในทุกรายการของ ลิเวอร์พูล โดยในช่วงเวลาเดียวกันนั้นพวกเขาเคยไม่ชนะใคร 5 นัดติดต่อกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแพ้ สวอนซี 2-3 ในเกมลีก, ปราชัยต่อ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-1 ในลีก, แพ้ วูล์ฟส์ 1-2 ในเอฟเอ คัพ, เสมอ เชลซี 1-1 ในลีก และพ่าย ฮัลล์ 0-2 ในเกมลีก

เกมแพ้ เลสเตอร์ ในลีก 1-3 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถือเป็นจุดสิ้นสุดของช่วงเวลาอันขมขื่น เพราะหลังจากจบเกมนั้นไปแล้ว ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใคร 7 นัดติดต่อกันในทุกรายการ แบ่งเป็นชนะ 5 เกมกับเสมอ 2 หน

: กันยายน 17-ตุลาคม 17
หลังจากออกสตาร์ตฤดูกาล 2017-18 ได้อย่างสวยหรูด้วยการไม่แพ้ใครเลยใน 5 นัดแรกของซีซั่น ลิเวอร์พูล ก็มาสะดุดด้วยการแพ้ แมนฯ ซิตี้ ในลีก 0-5 และเกมนั้นก็เป็นเหมือนการทำให้พวกเขาเครื่องสะดุด เพราะในอีก 9 เกมต่อมาทีมของ คล็อปป์ สะกดคำว่าชนะเป็นอีกเพียง 2 ครั้ง

ช่วงเวลาอันน่าเศร้า 10 นัดติดต่อกันของทีมสิ้นสุดไปพร้อมกับการแพ้ สเปอร์ส ในลีก 1-4 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ทำให้สรุปแล้วในช่วง 10 นัดดังกล่าวพวกเขาแพ้ไปทั้งหมด 3 ครั้ง กับเสมออีก 5 นัด ซึ่งหลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็ไม่แพ้ใครอีกเลยถึง 18 นัดติดต่อกัน ก่อนจะต้องมาพบกับความปราชัยอีกครั้งด้วยฝีมือของ สวอนซี ในเกมลีก

: กุมภาพันธ์ 20-กรกฎาคม 20
ดูจากระยะเวลาของเดือนแล้วอาจจะน่าตกใจ แต่ชี้แจงก่อนว่าส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะลีกยุโรปเคยพักไปนานจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้จำนวนเกมไม่ได้เยอะระดับแตะหลัก 20 นัดแต่อย่างใด

ความเลวร้ายดังกล่าวเริ่มจากการแพ้ แอต. มาดริด 0-1 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก โดยสุดท้ายแล้วมันก็ทำให้ ลิเวอร์พูล แพ้ไปโดยรวมถึง 5 นัดจาก 9 เกมในทุกรายการ (นับรวมเกมที่แพ้ แอต. มาดริด 2-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษของเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง) ขณะเดียวกันในช่วงนั้นพวกเขาก็ชนะแค่ 3 นัด

แน่นอน เกมสุดท้ายของช่วงเวลาอันเลวร้ายที่เป็นการแพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-4 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงอะไร เพราะตอนนั้น ลิเวอร์พูล การันตีแชมป์ลีกไปแล้ว แต่มันก็เป็นสกอร์ที่ทำให้ คล็อปป์ ผิดหวังในระดับหนึ่ง และเขาก็ทำให้ทีมแก้ตัวได้ด้วยการชนะ แอสตัน วิลล่า 2-0 จนทำให้ ลิเวอร์พูล ปิดฤดูกาลด้วยการแพ้แค่นัดเดียวในช่วง 6 เกมสุดท้ายของซีซั่น 2019-20


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
  • แมนยูเขี่ยลิเวอร์พูลร่วง สรุปผลเอฟเอคัพ-พร้อมเช็กผลประกบคู่รอบ 5
    บิ๊กแมตช์ "แดงเดือด" เวอร์ชั่น เอฟเอ คัพ ในรอบ 4 กลายเป็น "ผีแดง" แมนฯยูไนเต็ด ที่คว้าตั๋วเข้าไปเล่นในรอบ 5 ได้สำเร็จหลังเปิด โอลด์ แทรฟฟอร์ด เบียดเอาชนะ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สุดมันส์ 3-2 เข้าไปเจอกับ เวสต์แฮม ในรอบ 5 ต่อไป ขณะที่ "สิงห์บลูส์" และ "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" ก็ไม่พลาดควงกันเข้ารอบตามคาด
  • แพ้แต่ยิงได้ซะที! เจาะ 7 ประเด็น แมนยู เขี่ย ลิเวอร์พูล ร่วงเอฟเอ คัพ
    ลิเวอร์พูล ยังคงจมปลักอยู่กับผลงานที่ย่ำแย่ต่อไปนับตั้งแต่คริสต์มาส มาจนกระทั่งปลายเดือนมกราคม ล่าสุดออกไปโดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขี่ยตกรอบ 4 ศึกเอฟเอ คัพ ด้วยสกอร์ 2-3 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา
  • วิลเลี่ยมส์บ่อนำ้มัน! ตัดเกรดแข้งลิเวอร์พูลบุกพ่ายแมนยูเอฟเอคัพ
    ลิเวอร์พูล ต้องจอดแค่ เอฟเอ คัพ รอบ 4 หลังบุกพ่ายต่อคู่อริ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด แม้ผลการแข่งขันจะน่าผิดหวังแต่เรื่องดีๆของลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังมีบ้างเช่นแนวรุกกลับมาทำประตูได้แล้วหลังความมั่นใจหดหายไปหลายนัด แต่ในทางกลับกันแนวรับของพวกเขาต้านเกมรุกของผีแดงไม่ได้และโดนเจาะอยู่หลายรอบ เราพามาดูผลงานของแข้งหงส์แดงแต่ละคนในเกมนี้
  • บรูโน่ฟรีคิกสุดงาม! แดงเดือดยิงสนั่น-แมนยูบี้ลิเวอร์พูลเข้าชนค้อนรอบ 5 เอฟเอคัพ
    "ผีแดง" ยังร่ายฟอร์มได้อย่างเยี่ยมยอดหลังได้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่ลงมาเป็นสำรองซัดฟรีคิกงามหยดเป็นประตูชัยพาทีมเอาชนะ ลิเวอร์พูล สุดมันส์ 3-2 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 5 พบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในเกมแดงเดือดเวอร์ชั่น เอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »