ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » คาบ้าน, จิตใจย่ำแย่, เลิกคิดป้องกันแชมป์! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล แพ้ยับ แมนซิตี้

คาบ้าน, จิตใจย่ำแย่, เลิกคิดป้องกันแชมป์! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล แพ้ยับ แมนซิตี้

Posted 08/02/2021 by siamsport

ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมหมดสภาพลุ้นแชมป์ไปเกือบ 100 เปอร์เซนต์แล้ว หลังเปิดรังแอนฟิลด์ โดน "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกถลุงยับไม่นับญาติ 1-4 ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
         

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ "เดอะ เร้ดส์" แพ้ยับคงหนีไม่พ้นความผิดพลาดในเกมรับโดยเฉพาะ อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่มอบของขวัญชั้นดีให้กับ แมนฯ ซิตี้ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ขณะที่เกมรุกก็ไม่ได้หวือหวาอะไรเลย ประตูที่ได้ก็มาจากจุดโทษ นอกนั้นไม่สามารถกดดันอะไรเกมรับทีมเยือนได้มากนัก


สำหรับตอนนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ชาวเยอรมัน คงต้องเรียกประชุมลูกทีมเพื่อกระตุ้นให้เกิดความเชื่อมั่นเป็นการด่วน เพราะหากปล่อยให้สภาพจิตใจย่ำแย่แบบนี้ โอกาสที่จะติดท็อปโฟร์ อาจจะหลุดลอยไปเลยก็ได้


1. ถั่วลิสง (อลีสซง) เบ็คเกอร์ ยื่นชัยชนะให้ แมนฯ ซิตี้

เกมนี้ต้องบอกเลยว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มีความสำคัญอย่างมาก เพราะตลอดทั้งแมตช์ทั้งสองทีมค่อนข้างเล่นได้อย่างสูสี แต่จุดเปลี่ยนสำคัญในวันนี้คงหนีไม่พ้นฟอร์มของ อลิสซง เบ็คเกอร์ ทำทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยากซะงั้น

นายทวารชาวบราซิเลียน หายป่วยกลับมาเฝ้าเสาเป็นตัวจริงให้ทัพ "หงส์แดง" ในแมตช์สำคัญนี้ และแน่นอนว่าสาวก "เดอะ ค็อป" คงรู้สึกอุ่นใจที่มีเขายืนเฝ้าเสา แต่กลายเป็นว่า อลีสซง คือหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เจ้าบ้านแพ้ในเก

ปกติแล้วการเล่นด้วยเท้าของ อลีสซง ค่อนข้างจะมีความแน่นอนอย่างมาก แต่เกมนี้เขาทำเตะพลาดถึง 2 ครั้งทำให้ทีมเสีย 2 ประตูในช่วงสำคัญ และพอขาดความมั่นใจ เล่นยังไงก็ย่ำแย่ ขนาดจังหวะซัดแสกหน้าของ โฟเด้น หากเป็นเขาคนเดิมน่าจะปัดได้ แต่ในเมื่อใจเสียแล้ว งานนี้ยิงแบบไหนก็เป็นประตู 

อย่างไรก็ตามแม้เจ้าตัวต้องรับผิดชอบเต็มๆ กับหายนะในแมตช์นี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คล็อปป์ จะดร็อปเจ้าตัวในเกมหน้า เพราะ อลีสซง นานๆ จะผิดพลาดซักครั้ง ยังไงซะเจ้าตัวก็ยังคงเป็นความหวังในการเฝ้าเสาของ "เดอะ เร้ดส์" เสมอ

2. ความมั่นใจพลพรรค "หงส์แดง" ไม่เหลืออีกแล้ว
ฟอร์มของนักเตะลิเวอร์พูลในเวลานี้บอกได้คำเดียวว่าย่ำแย่ยกทีม หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกเขามีสภาพแบบนี้ก็คือความมั่นใจในการเล่นไม่เหลืออีกแล้ว พวกเขาเคยเป็นทีมที่แข็งแกร่ง เกมรุกดุดัน เกมรับเหนียวแน่น แต่ในปี "วัวเดือด" ไม่เหลือสิ่งเหล่านั้นให้เห็นอีกเลย

ไร้ตั้งแต่ อลีสซง ที่พลาดแบบไม่น่าจะพลาด ขณะที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยังคงเป็นบ่อน้ำมันชั้นดีในเกมรับ แถมเกมรุกที่เคยเป็นเครื่องหมายการค้าก็ไม่มีให้เห็นอีกเลย สำหรับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ต้องยอมรับว่าพลังในการเล่นของแข้งเลือดวิสกี้แทบไม่เหลือ เนื่องจากสภาพร่างกายกรำศึกหนักมานานจนกรอบไปหมดแล้ว

สำหรับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ฟาบินโญ่ ในฐานะเซนเตอร์แบ็กจำเป็น ก็ต้องบอกว่าน่าเสียดายศักยภาพของเขา แทนที่จะได้ใช้งานในการขับเคลื่อนเกมรุก แต่ต้องมายืนปักหลักเกมรับ ซึ่งกรณีนี้ก็ต้องบอกว่าช่วยไม่ได้เพราะพวกเขาไม่มีเซนเตอร์แบ็กอาชีพ ส่วน เบน เดวิส กับ โอซาน คาบัค เพิ่งจะย้ายมาร่วมทีม ยังไม่พร้อมลงสนามในแมตช์ใหญ่ขนาดนี้

  ที่น่าผิดหวังอีกรายคงหนีไม่พ้น ติอาโก้ อัลกันตาร่า แน่นอนว่านักเตะรายนี้เป็นคนมีทักษะสูง แต่ดูเหมือนว่าเขาคงไม่เหมาะกับสไตล์การเล่นแบบเฮฟวี่เมทัลของ คล็อปป์ สำหรับ ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต้องยอมรับว่าฟอร์มเก่งของพวกเขาไม่เหลือเลยในแมตช์นี้

ด้วยสถานการณ์ของทีมที่ย่ำแย่ คล็อปป์ อาจจำเป็นต้องดร็อปนักเตะบางคนเพื่อให้กลับไปเรียกสติ ซึ่งหากสาวก "เดอะ ค็อป" เลือกได้คงอยากให้ "เจ้าหนูเทรนต์" กับ ติอาโก้ ลองนั่งอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรองบ้าง เพื่อจะทำให้พวกเขาตั้งสติเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้อีกครั้ง

ส่วนของ 3 ประสาน "หิน เหล็ก ไฟ" คงจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน เมื่อ ดีโอโก้ โชต้า หายเจ็บกลับมาลงสนามได้ เพราะเชื่อว่า ดาวเตะชาวโปรตุกีส น่าจะทำให้เกมรุกของ "หงส์แดง" มีความหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ !!

 
3. เป๊ป ปลดล็อก แอนฟิลด์
ก่อนหน้าเกมนี้สิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" ยังพอมีลุ้นที่อาจจะได้คะแนนจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เพราะว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยนำทีมบุกมาเก็บชัยชนะในถิ่นแอนฟิลด์ได้เลย แต่ตอนนี้ทุกอย่างปลดล็อกเรียบร้อย เมื่อเขาจัดการนำทัพ "เรือใบสีฟ้า" ต้อนเจ้าบ้านสบายเกือก

จะว่าไปแล้วการเล่นในสนามของ ลิเวอร์พูล เป็นของแสลงสำหรับ แมนฯ ซิตี้ พอสมควร เพราะพวกเขาบุกมาชนะที่นี่ครั้งล่าสุดก็ต้องย้อนไปเมื่อปี 2003 ในยุคเควิน คีแกน ที่สามารถคว้า 3 แต้มในการเล่นที่แอนฟิลด์ นับจากนั้น 17 ครั้งในเกมลีกทีมเยือนแพ้ไป 12 เสมอ 5 เกม

ยังไม่หมดแค่นั้น เป๊ป ยังสร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซด้วยการนำทีมเก็บชัยชนะ 14 เกมติดต่อในในทุกรายการ ซึ่งเทียบเท่ากับที่ เปรสตัน และ อาร์เซน่อล เคยทำได้ แถมยังมีโอกาสที่จะทำลายสถิติด้วยซ้ำ เพราะผลงานของทีมในเวลานี้ติดลมบนไปแล้ว แถมยังทำสถิติชนะในลีกเป็นเกมที่ 10 ติดต่อกันด้วย

 สำหรับตอนนี้เรื่องการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก คงต้องบอกว่าบรรดาทีมตามต้องทำใจ เพราะขนาด ลิเวอร์พูล ที่ว่าแน่ๆ ยังแพ้ยับเยินขนาดนี้ งานนี้คงหวังได้แค่ให้แมนฯ ซิตี้ สะดุดขาตัวเอง แต่เมื่อมองดูขุมกำลังกับมันสมองของ เป๊ป แล้วบอกเลยว่ายากมาก เพราะตอนนี้นักเตะทุกคนของ "เรือใบสีฟ้า" ท็อปฟอร์มสุดๆ ใครลงสนามก็ได้ทั้งนั้น

 นี่ถ้า เควิน เดอ บรอยน์ กับ เซร์คิโอ "กุน" อเกวโร่ กลับมาฟิตสมบูรณ์ งานนี้เชื่อได้เลยว่า เป๊ป คงสั่งลูกทีมเร่งเครื่องคว้าแชมป์ลีกให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ไปลุ้นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โทรฟี่เดียวที่ยังเป็นตราบาปติดใจเขากับการคุมยอดทีมแห่งถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม
 
4.  โฟเด้น ยิ่งเล่นยิ่งเก่งเกินวัย
หลายคนเป็นห่วงว่า ฟิล โฟเด้น อาจจะสมาธิแตกจากกรณีฉาวร่วมกับ เมสัน กรีนวู้ด หลังมีคลิปหลุดออกมาแสดงให้เห็นว่าทั้งคู่แหกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ด้วยการเชิญสาวๆ เข้าไปที่ห้องพักในโรงแรมหรูที่ประเทศไอซ์แลนด์ จนถูกทีมชาติอังกฤษ ไล่ตะเพิดกลับบ้าน

งานนี้ทุกคนคิดผิดมหันต์ เพราะนักเตะกลับใช้ฝีเท้าในการชดเชยความผิดพลาดที่ทำตัวคะนอง และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าด้วยวัยแค่ 20 กว่าของเขาก็สามารถที่จะเป็นตัวหลักให้กับสโมสรที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่าง แมนฯ ซิตี้ ได้

สำหรับเกมนี้ โฟเด้น อาจจะไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก แต่ครึ่งหลัง เป๊ป ให้เจ้าตัวมีอิสระในการเล่นเกมรุกมากขึ้น และงานนี้เขาก็จัดการแผลงฤทธิ์ซะเลยด้วยการซัด 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ แถมตลอด 45 นาทีหลังเขามีส่วนในการขับเคลื่อนเกมบุกกดดันเจ้าบ้านได้ตลอด

ตอนนี้ โฟเด้น ซัดไปแล้ว 10 ประตูจากการเล่นทุกรายการในซีซั่นนี้ ที่สำคัญเขายังเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในวัยเพียง 20 ปีกับ 255 วันที่สามารถยิงประตูและแอสซิสต์ได้ในเกมพรีเมียร์ลีก ที่สนามแอนฟิลด์  ต่อหน้าต่อตา แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ งานนี้ตำแหน่งตัวหลักในทัพ "สิงโตคำราม" จะหนีไปไหน !!

 5. หมดลุ้นแชมป์ลีกไปโดยปริยาย
แอนฟิลด์ คือเมกะลูกหนังที่ทำให้คู่แข่งต้องหวาดกลัว โดยเฉพาะสถิติไร้พ่ายในเกมลีก 68 แมตช์ แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหลือมนต์ขลังอีกต่อไปแล้ว เพราะพวกเขาพ่ายแพ้เกมลีกในบ้านตัวเอง 3 แมตช์ติดต่อกันซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมานานนับตั้งแต่ปี 1963

ยิ่งไปกว่านั้น "เดอะ เร้ดส์" ยังเป็นทีมที่แพ้คาบ้านในลีก 3 แมตช์ติดต่อกันหลังจากที่พวกเขาคว้าแชมป์เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ซึ่งทีมก่อนหน้านี้ที่เคยมีประสบการณ์ชีช้ำกระหล่ำปลีในสนามตัวเองก็คือ เชลซี ซึ่งต้องย้อนไปเมื่อประมาณเดือนมีนาคม 1956 ก็เกือบๆ 65 ปีก่อนเลยทีเดียว

 ความพ่ายแพ้ในเกมนี้น่าจะเป็นการยืนยันได้แล้วว่า ลิเวอร์พูล หมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ลีกเกือบ 100 เปอร์เซนต์ เพราะพวกเขาตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 10 คะแนน แถม "เรือใบสีฟ้า" แข่งน้อยกว่า 1 นัด ฉะนั้นสิ่งที่ คล็อปป์ แอนด์โค. ควรจะคิดในเวลานี้ก็คือการรักษาอันดับท็อปโฟร์ให้ได้

อย่าลืมว่าหากฟอร์มยังแกว่งแบบนี้ โอกาสที่จะหลุดวงโคจรโควตาแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็มีสูง เพราะตอนนี้ทั้งเวสต์แฮม ยูไนเต็ด, เอฟเวอร์ตัน, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ เชลซี พร้อมที่จะโกยแต้มเพื่อแซงหน้า "เดอะ เร้ดส์"

ฉะนั้นแมตช์ต่อที่ต้องไปเยือน "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม หากไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ (เสมอยังไม่พอ) พวกเขาคงต้องอยู่ในสถานการณ์ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อโอกาสคว้าตั๋วไปเลยโทรฟี่ "บิ๊กเอียร์"


ทอมเม้ง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »