สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นอีกครั้งหลังจากที่สวมบทฮีโร่ซัดประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษ เกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-0 ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

แมตช์นี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา พักนักเตะหลักๆ อย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส กับ แม็คโทมิเนย์ โดยเกมนี้ค่อนข้างอึดอัด และโอกาสในการยิงประตูค่อนข้างน้อย จนสุดท้าย "น้าลูกอม" จำเป็นต้องแก้เกมด้วยการส่ง จอมทัพชาวโปรตุกีส และ "แม็คโท" ลงเล่นในช่วงเกือบ 20 นาทีสุดท้าย

 ตลอด 90 นาทีไม่มีทีมไหนพังประตูกันได้ ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ 30 นาที และก็เป็น แม็คโทมิเนย์ ที่จัดการซัดประตูโทน ส่งทัพ "ปีศาจแดง" ทะลุเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้อย่างหวุดหวิด และทำให้ แมนฯ ยูฯ มีลุ้นความสำเร็จแรกในยุค โซลชา

1. แม็คโทมิเนย์ฮีโร่อีกแล้ว

 สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ถูกจับเป็นตัวสำรองในเกมนี้ เนื่องจาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องการให้นักเตะได้พักบ้าง หลังจากกรำศึกหนักมาตลอด แต่สุดท้ายเขาก็ถูกส่งลงสนามในช่วงเกือบ 20 นาทีสุดท้าย และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้แฟนบอลต้องผิดหวัง

ดาวเตะชาวสกอตติช ทำผลงานได้อย่างคงเส้นคงวามาตลอด และมีส่วนทำให้ แมนฯ ยูฯ ฟอร์มร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้ง มิดฟิลด์ ซึ่งเจ้าตัวก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถเชื่อมเกมได้ดี และมักจะขึ้นไปทำเกมรุกเพื่อกดดันแนวรับคู่แข่งได้ตลอด

สำหรับประตูโทนในเกมนี้มาจาการเล่นบอลสวนกลับจาก เฟร็ด ที่ตักเข้ากลางประตู แม้บอลไปโดนแนวรับทีมเยือนแต่เคลียร์ไม่ดีเข้าทาง มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่แปะคืนหลังให้  แม็คโทมิเนย์ วิ่งมาซัดด้วยขวาบอลพุ่งเสียบมุมอย่างเฉียบขาด

นี่เป็นประตูที่สามติดต่อกันของ แม็คโทมิเนย์ และตอนนี้เขาซัดให้ทีมไปแล้ว 7 ประตูในฤดูกาลนี้  แน่นอนว่าฟอร์มการเล่นของเขามีพัฒนาการแบบเขย่งก้าวกระโดดภายใต้การปลุกปั้นของ โซลชา และคงจะเป็นอีกหนึ่งแข้งหลักที่ "ผีแดง" ขาดไม่ได้จริงๆ

2.  เตลลิส เหมาะสมเป็นคู่แข่งแย่งแบ็กซ้าย ชอว์

คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ อเล็กซ์ เตลลิส ที่จะต้องนั่งเป็นตัวสำรอง เนื่องจาก ลุค ชอว์ กำลังทำผลงานได้อย่างสุดยอดในตำแหน่งแบ็กซ้าย ฉะนั้นเมื่อเขาได้โอกาสลงเล่นตัวจริงในเกมนี้ เจ้าตัวต้องพยายามงัดฟอร์มเก่งออกมา และก็ทำได้ดีเยี่ยมจริงๆ

ฟูลแบ็กเลือดบราซิเลียน โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในแมตช์นี้ เขาสร้างโอกาสในกับทีมได้ถึง 3 ครั้งในครึ่งแรก และซัดไป 1 ครั้งแต่ติดบล็อก นอกจากนี้ เตลลิส ยังทำหน้าที่ในเกมรับได้สุดยอดโดยเฉพาะการจัดการกับ จาร์ร็อด โบเว่น

 เตลลิส มีจุดเด่นในการเล่นลูกตั้งเตะ และจังหวะการวิ่งที่รวดเร็ว และสามารถแย่งบอลจากผู้เล่นเกมรุกของ เวสต์แฮม ได้บ่อยๆ ที่สำคัญตลอดเวลาที่เจ้าตัวอยู่ในสนามเขาสร้างโอกาสได้ทั้งหมด 4 ครั้ง มากกว่าผู้เล่นคนอื่นๆ ด้วย

ในช่วงต่อเวลาพิเศษ โซลชา ตัดสินใจถอด แบ็กซ้ายดีกรีทีมชาติบราซิล ออก และส่ง ชอว์ ลงสนาม ซึ่งฟูลแบ็กทีมชาติอังกฤษ ก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดี โดยเขามีส่วนกับการขึ้นเกมบุกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนนำไปสู่การได้ประตูชัยในเกมนี้
 
3. ฟาน เดอ เบ็ค ต้องใช้เวลาอีกสักพัก

สาวก "เร้ด อาร์มี่" อย่าเพิ่งไปรีบร้อนคาดหวังว่าจะได้เห็น ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ลงสนาม และสร้างผลงานชั้นยอดออกมา เพราะในช่วงเวลานี้ ดาวเตะชาวดัตช์ จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับจูนฟอร์มการเล่นของเขาให้เข้ากับระบบของ แมนเชสเตอร์ ยูไน

ฟาน เดอ เบ็ค ได้ลงเล่นตัวจริงให้กับ "ปีศาจแดง" แค่ 4 เกมในปี 2021 ซึ่งทั้งหมดก็มาจากการเล่นฟุตบอลถ้วย  อย่างไรก็ตามฟอร์มของเขาก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้าย และยังสามารถคุมพื้นที่ในแดนกลางให้กับทีมได้ดี รวมทั้งมีจังหวะเข้าเสียบสกัดที่แม่นยำด้วย

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในสนามแมตช์นี้ ฟาน เดอ เบ็ค พยายามทำงานหนัก และช่วยสร้างสรรค์เกมให้กับต้นสังกัด แต่ภาพรวมทั้งหมดในแมตช์นี้ กองกลางทีมชาติฮอลแลนด์ ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะเพื่อพัฒนาฟอร์มการเล่นของเขากับทีม

การที่ยังยิงประตูและแอสซิสต์ไม่ได้เลยเป็นสิ่งที่บั่นทอนสภาพจิตใจของ ฟาน เดอ เบ็ค เช่นกัน ฉะนั้นเจ้าตัวจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิสูจน์ศักยภาพของเขาทั้งในเรื่องการทำประตูและมีส่วนเกี่ยวข้องการประตูของทีม เหมือนกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือนักเตะที่ แมนฯ ยูฯ ขาดไม่ได้
 
4. โซลชาแก้เกมค่อนข้างช้าไปหน่อย

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปลี่ยนผู้เล่น 5 ตัวในแมตช์นี้ แต่งานนี้แฟนบอล "ปีศาจแดง" คงรู้สึกคาใจว่าทำไม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จึงต้องปล่อยให้เกมลากยาวไปจนถึงช่วง 20 นาทีสุดท้าย ถึงค่อยขยับส่งผู้เล่นตัวหลักลงสนาม

เกมนี้ค่อนข้างจะอึดอัดพอสมควร เพราะต่างฝ่ายต่างก็เล่นแบบปลอดภัยเอาไว้ก่อน จนแทบไม่มีจังหวะอันตรายมากนัก และเวลาผ่านไปถึงนาทีที่ 73 โซลชา จึงค่อยขยับเปลี่ยน 2 ผู้เล่นสำคัญนั่นก็คือ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงสนาม

ก่อนจะหมดเวลา 90 นาทีก็ค่อยส่ง เอดินสัน คาวานี่ ลงสนาม และในช่วงต่อเวลาพิเศษจึงส่ง ลุค ชอว์ กับ เบรนดอน วิลเลี่ยมส์ หากมองในแง่บวก "น้าลูกอม" อาจจะไม่ต้องการรีบร้อนเปลี่ยนตัวเร็วเกินไป เพราะรู้ว่ามีโอกาสที่แมตช์นี้จะต้องแข่งกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ

อย่างไรก็ตามหากมองอีกมุมถ้า โซลชา ตัดสินใจแก้เกมตั้งแต่เนินๆ  มีความเป็นไปได้สูงที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะสร้างโอกาสในการยิงประตูได้เยอะกว่านี้ และไม่จำเป็นต้องเสียพลังงานในการลงเล่นช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาทีด้วย

ลองนึกภาพดูว่าถ้า แม็คโทมิเนย์ กับ บรูโน่ และ ชอว์ ได้มีเวลาโชว์ฝีเท้าประมาณ 30 นาทีในครึ่งหลังช่วงเวลาปกติ แน่นอนว่าพวกเขาสามารถที่จะปั่นป่วนเกมรับของ เวสต์แฮม ได้สบายๆ และโอกาสที่จะยิงประตูก็มีมากกว่านี้
 
5. เดินหน้าลุ้นแชมป์แรกในยุคโซลชา

หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งคุม แมนฯ ยูฯ ถาวรในเดือนมีนาคม 2019 โซลชา ยังต้องควานหาโทรฟี่แชมป์แรกของเขาในฐานะผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยซีซั่นที่ผ่านมาก็เฉียดที่จะทำได้แต่สุดท้ายก็ไปไกลที่สุดแค่รอบรองชนะเลิศ (เอฟเอ คัพ, คาราบาว คัพ, ยูโรปา ลีก)

ปัจจุบัน โซลชา ปลุกปั้น "ปีศาจแดง" ให้มีสไตล์การเล่นที่อันตราย และอันดับในพรีเมียร์ลีก ก็พัฒนาขึ้นเยอะ (อยู่ที่ 2) แต่ นายใหญ่ชาวนอร์เวย์ รู้ดีว่าภารกิจสำคัญของเขาในการคุม "ผีแดง" ก็คือการนำความสำเร็จกลับคืนสู่ถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ในฤดูกาลนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ตกรอบศึกคาราบาว คัพ ไปแล้วด้วยฝีเท้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศ ขณะที่การลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ก็ค่อนข้างยากเพราะตามหลัง "เรือใบสีฟ้า" 5 คะแนนแถมแข่งมากกว่า 1 นัด ฉะนั้นโอกาสที่จะคว้าแชมป์สำหรับ โซลชา แล้วคงจะหนีไม่พ้นศึกเอฟเอ คัพ กับ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก

แมนฯ ยูฯ มีคิวดวล เรอัล โซเซียดาด ในเกมรอบ 32 ทีมสุดท้ายฟุตบอลถ้วยใบเล็กยุโรป ซึ่งยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายรอบกว่าจะมาคิดเรื่องแชมป์ แต่สำหรับ เอฟเอ คัพ พวกเขาเหลืออีกแค่ 2 รอบเท่านั้นก็จะได้เข้าชิงชนะเลิศ ซึ่งแน่นอนว่านี่คือถ้วยที่มีโอกาสดีมากๆ ที่ โซลชา แอนด์ โค. จะนำไปประดับที่ตู้โชว์สโมสรที่ตอนนี้หยากไย่ขึ้นเต็มไปหมดแล้ว