ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » เรื่องแชมป์วางไว้ก่อน เน้นฉีกหนีคู่แข่งท็อปโฟร์! 5 ประเด็น แมนยู ทุบ นิวคาสเซิ่ล

เรื่องแชมป์วางไว้ก่อน เน้นฉีกหนีคู่แข่งท็อปโฟร์! 5 ประเด็น แมนยู ทุบ นิวคาสเซิ่ล

Posted 22/02/2021 by siamsport

ฃ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาทำผลงานได้ดีเมื่อเปิดรังโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 3-1 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทัพ "ปีศาจแดง" ทวงอันดับ 2 ในตารางลีกจาก เลสเตอร์ ซิตี้ ได้แล้ว
    
ฟอร์มการเล่นของ "ผีแดง" ในเกมนี้ไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก ในทางตรงกันข้าม "สาลิกาดง" มีโอกาสจบสกอร์มากกว่าด้วยซ้ำ แต่ขาดความเฉียบคม อย่างไรก็ตามด้วยคุณภาพขุมกำลังที่เหนือกว่า และความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะที่ยอดเยี่ยมทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บ 3 คะแนนสำคัญได้สำเร็จ

ตอนนี้พวกเขายังคงตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูงถึง 10 คะแนน โอกาสในการลุ้นแชมป์ลีกยังคงห่างไกล แต่การคว้า 3 คะแนนในเกมนี้ถือเป็นขวัญกำลังใจที่ดี และยังเป็นการทำแต้มทิ้งห่างทีมที่ลุ้นท็อปโฟร์ทั้ง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, เชลซี และ ลิเวอร์พูล  รวมทั้ง เอฟเวอร์ตัน ด้วย

1. ช่วงขาขึ้น เจมส์ ควรมีอยู่ในทีม
หลังจากที่ฟอร์มหลุดจนต้องการเป็นตัวสำรองมาแล้วแมตช์ในเกมลีก ครั้งนี้ โซลชา ให้โอกาส แดเนี่ยล เจมส์ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเกมแรกนับตั้งแต่แมตช์ที่เสมอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ช่วงบ็อกซิ่งเดย์ ซึ่งงานนักเตะก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ

ผลงานซัด 1 ประตูทำให้ตอนนี้ ดาวเตะทีมชาติเวลส์ ตะบันไปแล้ว 3 ประตูจาก 3 เกมซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ และแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องการจาก เจมส์ นอกจากการยิงประตูแล้ว เขายังมีส่วนกับการเล่นเกมรุกของทีมมากๆ ในแมตช์นี้

การวิ่งแบบไม่มีหมด เข้าบอลทุกจังหวะแบบไม่กลัวเจ็บ และการเล่นอย่างทุ่มเทคือสิ่งที่ "น้าลูกอม" ต้องการจากลูกทีมทุกคน ฉะนั้นนี่คือเรื่องดีมากๆ ที่ โซลชา เลือกใส่ชื่อเขาลงสนามเพราะทำให้ทีมได้ประโยชน์อย่างสูง

หาก เจมส์ ยังคงได้รับโอกาสได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะพัฒนาศักยภาพมากยิ่งขึ้นกว่านี้ ที่สำคัญการมีนักเตะแบบเขาอยู่ในทีม จะช่วยทำให้ "ปีศาจแดง" มีความหลากหลายในการเข้าทำ

เพราะบางครั้งเวลาที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ฟอร์มหลุดเครื่องสะดุด  เจมส์ ซึ่งซัดไปแล้ว 6 ประตูจาก 12 เกมในฤดูกาลนี้ ก็สามารถช่วยทีมพลิกสถานการณ์ได้
 
2.  เด เคอา ยังมีจังหวะพลาดให้เห็นอีกแล้ว
นายใหญ่ชาวนอร์เวย์ มักจะให้การหนุนหลัง ดาบิด เด เคอา มาตลอดนับตั้งแต่ที่เขาได้รับการแต่งตั้งกุมบังเหียน แมนฯ ยูไนเต็ด ถาวรเมื่อเดือนมีนาคม 2019 แต่ดูเหมือนว่านับวันฟอร์มการเล่นของนายด่านชาวสแปนิช ยิ่งทำให้ โซลชา รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจเหลือเกิน

กุนซือ "เบบี้เฟซ" พยายามที่จะใช้แผนการเล่นแบบใหม่เพื่อรับมือกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และมีการออกโรงเตือน เด เคอา ว่าเขาอาจจะไม่ได้อยู่ในสถานะมือ 1 อีกต่อไปหากยังไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวาเอาไว้ได้

ตอนนี้ ดีน เฮนเดอร์สัน ได้รับโอกาสจาก โซลชา อย่างต่อเนื่องในการเล่นฟุตบอลถ้วย และเกมลีกบางแมตช์ ซึ่งเจ้าตัวก็ทำผลงานได้พอใช้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ เด เคอา ต้องพยายามงัดฟอร์มเหนียวหนึบออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องไปนั่งอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง

การที่ต้องโดน โซลชา กดดันทำให้ เด เคอา เริ่มมีอาการประหม่าเวลาทำหน้าที่เฝ้าเสา และมีหลายเกมที่เขาทำผิดพลาดจนทำให้ทีมได้ผลการแข่งขันที่น่าผิดหวัง ขณะที่ในเกมรับมือ "สาลิกาดง" ก็ทำไม่ค่อยดีในจังหวะตัดบอลกลางอากาศ, มีปัญหาเวลาที่สู้กับแนวรุกที่รูปร่างใหญ่โตของทีมเยือน และยังเกือบทำให้ทีมเสียประตู จากการส่งบอลพลาดในช่วงต้นเกม แต่เดชะบุญที่ นิวคาสเซิ่ล จบไม่คม

3. มาร์กซิยาล มีก็เหมือนไม่มี
ตอนนี้ดูเหมือนว่าความมั่นใจของ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ยิ่งย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ในเกมกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด  หัวหอกชาวฝรั่งเศส แทบจะไม่มีส่วนอะไรกับเกมรุกของทีมเลย หากจะพูดแบบแรงๆ ก็คือไร้ประโยชน์

โซลชา แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในตัว มาร์กซิยาล มาตลอด และให้โอกาสเขาได้พิสูจน์ตัวเองเสมอ แต่ดูเหมือนว่าโอกาสที่เขาได้รับมันจะค่อยๆ เหือดหายไปเรื่อยๆ อย่างในเกมกับ "สาลิกาดง" นอกจากจังหวะที่ซัดเต็มข้อแต่โดน คาร์ล ดาร์โรว์ เซฟได้ ที่เหลือไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง

การเชื่อมกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ไม่มีให้เห็น หรือจะใช้ความสามารถเฉพาะตัว กับความเร็วจัดการแนวรับคู่แข่งก็ทำไม่ได้ โดยตั้งแต่นาทีแรกจนกระทั่งโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 70 ไม่มีจังหวะไหนที่สาวก "เร้ด อาร์มี่" รู้สึกประทับใจในฟอร์มการเล่นของหัวหอกเลือดเฟร้นช์เลย

คงต้องยอมรับว่าตอนนี้ มาร์กซิยาล เริ่มมีปัญหาทั้งสภาพร่างกาย และจิตใจจากฟอร์มที่เล่นได้ย่ำแย่ งานนี้ โซลชา คงจะต้องดร็อปเขาจากการเป็นตัวจริง เพราะทีมยังมีผู้เล่นที่สามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าเจ้าตัวไม่ว่าจะเป็น เอดินสัน คาวานี่, เมสัน กรีนวู้ด และ อาหมัด ดิยัลโล่
 
4. แรชฟอร์ดยังพึ่งพาได้เสมอ
ขณะที่ มาร์กซิยาล ฟอร์มออกทะเลย แต่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยังคงรักษามาตรฐานการเล่นได้ดีเยี่ยม นอกจากจะยิงประตูเบิกร่องให้ทีมแล้ว เขายังมีส่วนต่อการได้ประตูปิดท้ายในแมตช์นี้ ซึ่งถือได้ว่านักเตะคือหนึ่งในคีย์แมนเกมรุกของทีมจริงๆ

จังหวะการยิงประตูแรกของ แรงฟอร์ด เป็นการโชว์ความสามารถเฉพาะตัวของเขาล้วนๆ ตั้งแต่การได้บอลจาก แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก่อนที่เขาจะโชว์สเต็ปโยกหลอก  เอมิล คราฟธ์ และซัดเสาแรกส่งบอลซุกก้นตาข่ายอย่างงดงาม

ส่วนประตูปิดท้ายก็มาจาก แรชฟอร์ด ที่ใช้ความสามารถเฉพาะตัวในเขตโทษก่อนจะโดน โจ วิลล็อค ทำฟาวล์ และเป็น บรูโน่ แฟร์นันด์ส เจ้าพ่อลูกนิ่ง จัดการซัดไม่เหลือซาก ช่วยให้ทีมเล่นได้สบายอุราในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของเกม

ผลงานของ กองหน้าทีมชาติอังกฤษ ในเกมนี้แสดงให้เห็นว่าเวลาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีปัญหาเรื่องการเล่นเกมบุก แต่หากบอลอยู่ที่เท้าของเขา โอกาสที่ทีมจะได้ประตูก็มีค่อนข้างสูง เพราะเจ้าตัวมีศักยภาพที่จะหาทางเจาะเข้าไปทำประตูคู่แข่งได้ด้วยตัวเองเสมอ

5. แม้ร่างกายจะอ่อนล้าจากเกมยุโรป แต่ก็ยังเก็บชัยชนะในลีกได้
สำหรับแมตช์รับมือ นิวคาสเซิ่ล ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หลายคนคงได้เห็นว่าฟอร์มการเล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ดูสดใสกระปรี้กระเปร่ามากนัก นักเตะตัวหลักหลายคนดูเหมือนมีอาการอิดโรยจากการต้องกรำศึกหนักต่อเนื่อง

ฟอร์มการเล่นในช่วงครึ่งแรกของ แมนฯ ยูฯ ค่อนข้างแย่เลยทีเดียว ขณะที่ในครึ่งหลังฟอร์มค่อยๆ กระเตื้องขึ้นมาบ้าง  แต่ก็ไม่ได้ดุดันมากนัก อย่างไรก็ตามแม้ผลงานอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับหลายๆ เกมก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาก็ยังคงเก็บ 3 คะแนนสำคัญได้

ชัยชนะถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ สำหรับฤดูกาลที่แสนยากลำบาก แต่จะให้มองไปถึงการลุ้นแชมป์ลีกกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็คงต้องตอบตามความจริงว่าเป็นงานที่ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร หรือเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะฟอร์มของ "เรือใบสีฟ้า" ติดลมบนแล่นชิวยากจะหาทีมไหนโค่นได้
   
ฉะนั้นการลุ้นติดท็อปโฟร์น่าจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของพวกเขาในซีซั่นนี้ โดยตอนนี้ "ผีแดง" กลับมายึดอันดับ 2 คืนด้วยการมี 49 คะแนนเท่ากับ เลสเตอร์ ซิตี้ แต่ผลต่างประตูได้เสียดีกว่า แถมยังทำแต้มทิ้งห่างคู่แข่งแย่งโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้ง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (4 คะแนน), เชลซี (6 คะแนนน) และ ลิเวอร์พูล (9 คะแนน) ด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »