ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » บ๊วยหอมเนื้อนุ่มอมแล้วลื่นคอ! ผ่า 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล บุกทุบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

บ๊วยหอมเนื้อนุ่มอมแล้วลื่นคอ! ผ่า 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล บุกทุบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

Posted 01/03/2021 by siamsport

 ลิเวอร์พูล กลับคืนฟอร์มโหดอีกครั้งในแมตช์บุกชนะ "ดาบคู่" เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-0 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้เส้นทางการลุ้นอันดับท็อปโฟร์ของพวกเขาค่อยๆ เปิดกว้างมากขึ้น
          
"หงส์แดง" มาพร้อมกับการเล่นที่ดุดัน และดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการลบล้างฟอร์มที่ย่ำแย่ในลีก 4 แมตช์ที่แพ้เรียบวุธ แม้ในครึ่งแรกจะไม่สามารถเจาะตาข่ายเจ้าบ้านได้ แต่ครึ่งหลังด้วยศักยภาพของแชมป์เก่าทำให้ทีมได้ 2 ประตูสำคัญ และคว้า 3 แต้มได้สำเร็จ

ตอนนี้ภารกิจต่อไปของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็คือการกระตุ้นลูกทีมให้รักษาฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ต่อไป เพราะในแมตช์หน้าพวกเขามีคิวปะทะกับ เชลซี ที่ฟอร์มร้อนแรง และมีเอี่ยวลุ้นตั๋วใบไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยเช่นกัน

1. คู่เซนเตอร์แบ็กใหม่อีกแล้ว
ลิเวอร์พูล ไม่รู้ไปทำเวรทำกรรมอะไรเอาไว้ ถึงทำให้ตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก ต้องเจอกับอาถรรพ์ตั้งแต่ต้นฤดูกาลจนถึงปัจจุบัน โดยพวกเขาไม่มีปราการหลังตัวกลางอาชีพ และมีประสบการณ์อยู่ในทีมเลยในเวลานี้

เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมซ และ โฌเอล มาติป ใช้เวลาอยู่ที่โรงหมอกับโรงยิมมากกว่าในสนาม  ขณะที่ ฟาบินโญ่ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน สองมิดฟิลด์ที่ต้องมารับบทเซนเตอร์แบ็กจำเป็นได้รับบาดเจ็บหมดสิทธิ์ช่วยทีมในเกมนี้

ขณะที่ เบน เดวิส ที่เพิ่งจะดึงตัวมาร่วมทีมในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งฤดูหนาว ก็มีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ คล็อปป์ จำเป็นต้องเปลี่ยนคู่เซนเตอร์แบ็กใหม่อีกครั้ง โดยเป็นคิวของ โอซาน คาบัค กับ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ ซึ่งบอกเลยว่าสาวก "เดอะ ค็อป" เสียวท้องน้อยตั้งแต่ได้เห็นชื่อทั้งคู่ลงตัวจริง

ผลงานของทั้งสองคนอาจจะไม่ได้โดดเด่น และมีจังหวะผิดพลาดอยู่บ้าง โดยเฉพาะ คาบัค ที่ทำเข้าประตูตัวเอง แต่เดชะบุญที่ เชฟฯ ยูฯ ล้ำหน้าไปก่อน แต่หลังจากนั้นเขาก็มีจังหวะสกัดบอลสวยๆ หลายครั้ง และยืนทำหน้าที่ได้เหนียวแน่นพอใช้ได้

โดยรวมแล้วทั้ง คาบัค กับ ฟิลลิปส์ ทำหน้าที่ได้ดี ช่วยให้ทีมสามารถเก็บคลีนชีตได้ แต่กระนั้นด้วยคุณภาพเกมรุกของ "ดาบคู่" ที่ไม่ได้อันตรายมากนัก ทำให้พวกเขาอาจจะเจองานหนักน้อยหน่อย แต่ในแมตช์รับมือ เชลซี เกมต่อไป ถ้าทั้งคู่ต้องลงสนาม งานนี้คงได้เจอบทพิสูจน์จากพวกตัวรุกขาโหดของ "สิงห์บูลส์" แน่นอน
 
2. ฟีร์มีโน่โชว์ของแต่ใจกว้างมากเกินไปในบางจังหวะ
ช่วงที่ผ่านมา โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กองหน้าชาวบราซิเลียน โดนวิจารณ์อย่างหนักเรื่องฟอร์มการเล่น และการยิงประตู แต่สำหรับแมตช์นี้เจ้าตัวโชว์ของเต็มสูบ และมีส่วนอย่างยิ่งต่อการได้สามคะแนนสำหรับของสโมสร

สตาร์ลูกหนังเลือดแซมบ้า มีโอกาสที่จะกดประตูให้ทีมขึ้นนำในครึ่งแรก แต่  แอรอน แรมส์เดล โกลเจ้าถิ่นเซฟได้หวุดหวิด ขณะเดียวกันมีหลายจังหวะที่ ฟีร์มีโน่ พยายามปั้นเกมให้เพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะจังหวะที่ จอร์จินโย่ ไวนัลจ์ดุม ซัดไกลแต่ แรมส์เดล เซฟได้และบอลมาเข้าทาง "บ็อบบี้" แทนที่เขาจะยิง แต่ดันเลือกส่ง และกลายเป็นโดนกองหลัง "ดาบคู่" เคลียร์บอลทิ้งไปได้

อย่างไรก็ตามในครึ่งหลัง ฟีร์มีโน่ ยังคงเล่นด้วยความขยัน พยายามลงต่ำเพื่อมาล้วงบอลเอง และจากการประสานงานกันที่ยอดเยี่ยมระหว่างเขากับ ซาดิโอ มาเน่ ทำให้เจ้าตัวได้หลุดเข้าไปยิงประตู แม้ว่าลูกนี้จะแฉลบ คีน ไบรอัน ส่งผลให้เป็นลูกเข้าประตูตัวเองก็ตาม แต่นี่คือนิมิตรหมายที่ดีสำหรับ ดาวเตะชาวบราซิเลียน

สิ่งเดียวที่ คล็อปป์ คงจะต้องเน้นย้ำ ฟีร์มีโน่ ให้มากกว่าก็คือการมีหัวใจเพชฌฆาต เพราะในฐานะกองหน้าเมื่อมีโอกาสต้องยิงประตู ไม่ใช่มัวแต่คิดจะส่งบอลให้เพื่อนจนทำให้ทีมเสียโอกาส แต่กระนั้นก็อย่าเป็นแบบ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มากเกินไป เพราะรายนี้ขนาดโอกาสแทบไม่มียังฝืนยิงโดยไม่จำเป็น !!

 3. อาเดรียน ทำหน้าที่ยางอะไหล่ยามวิกฤติได้ดี 
แน่นอนว่า อาเดรียน รู้ตัวอยู่แล้วว่าเขาคือผู้รักษาประตูมือ 3 ของทีม และโอกาสที่จะได้ลงแทน อลีสซง เบ็คเกอร์ แทบจะไม่ค่อยมี เพราะปัจจุบัน คล็อปป์ ค่อนข้างไว้วางใจ ควีวิน เคลเลเฮอร์นายทวารดาวรุ่ง ให้ลงเฝ้าเสาหากเกมไหนมือ 1 เลือดแซมบ้า ลงสนามไม่ได้

ในเกมนี้ กุนซือชาวเยอรมัน รู้อยู่แล้วว่า อลีสซง มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่จากการสูญเสียคุณพ่อ แต่แทนที่เขาจะส่ง เคลเลเฮอร์ ลงทำหน้าที่อย่างที่เห็นเป็นประจำ แต่กับเลือกใช้งาน อาเดรียน ซึ่งถ้าถามแฟนบอล "หงส์แดง" การเห็นโกลชาวสเปน เล่นร่วมกับ 2 เซนเตอร์แบ็กอย่าง ฟิลลิปส์ และ คาบัค พวกเขาจะมีความสุขในการนั่งเชียร์หรือเปล่า ??

อย่างไรก็ตาม อาเดรียน พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแมตช์นี้เขาเล่นด้วยความนิ่ง และไม่ติดประมาท โดยเฉพาะจังหวะเคลียร์บอลจากลูกเตะมุม เจ้าตัวเลือกที่จะชกบอลทิ้งมากกว่าจับบอล ซึ่งถือเป็นแนวคิดในเรื่องการเล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน ขณะที่จังหวะการใช้เท้าเตะก็แม่นยำ

อาเดรียน มาจังหวะในการเซฟสำคัญๆ สองถึงสามครั้งในเกมนี้ โดยเฉพาะในช่วงต้นเกมที่เขาสามารถป้องกันจังหวะโขกระยะ 6 หลาของ เดวิด แม็คโกลดริค ได้อย่างสุดยอด ทำให้ทีมไม่ต้องตกเป็นรองตั้งแต่ไก่โห่ หรือจังหวะที่  แม็คโกลดริค ปั่นไปแฉลบตัว โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ เปลี่ยนทางบอลเกือบพุ่งเสียบเสาไกล แต่เขาพุ่งปัดออกหลังได้ทัน

ฉะนั้นชัยชนะในแมตช์นี้ต้องยกเครดิตให้กับ อาเดรียน ด้วย แต่สำหรับในเกมต่อไป เจ้าตัวก็รู้เต็มอกว่าตำแหน่งของเขาก็คือซุ้มม้านั่งสำรอง  และสิ่งที่ทำได้ก็คือการรอคอยโอกาสของตัวเอง รวมทั้งรักษาฟอร์มที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ต่อไป

4. โจนส์-เทรนต์ ความภาคภูมิใจของอะคาเดมี่ "หงส์แดง"
หนึ่งในสิ่งที่แฟนบอล "เดอะ ค็อป" ประทับใจสำหรับแมตช์นี้ก็คือการเห็นฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมของ เคอร์ติส โจนส์ กับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งทั้งคู่ช่วยดันเกมรุกได้อย่างดุดัน และนำสามแต้มสำคัญคืนสู่สโมสรอีกครั้ง

เกมนี้ คล็อปป์ จับ โจนส์ ยืนเป็นมิดฟิลด์ฝั่งซ้าย และเขาก็ประสานงานกับสามแนวรุกของทีมอย่าง มาเน่, ซาลาห์ และ ฟีร์มีโน่ ได้อย่างลงตัว โดยนักเตะพยายามช่วยเกมบุกของทีมตลอด ที่สำคัญเขามีสถิติในการผ่านบอลสำเร็จเกมนี้ถึง 96 เปอร์เซนต์

ในช่วงครึ่งแรก โจนส์ มีโอกาสหลุดเข้าไปปั่นป่วนเกมรับของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ได้บ่อยๆ ขณะที่ในครึ่งหลังการประสานงานกันของสองแข้งเด็กท้องถิ่นได้แก่ "เจ้าหนูเทรนต์" กับ "เจ้าหนูโจนส์" นำมาสู่การได้ประตูขึ้นนำของทีม และเป็นประตูแรกในลีกของ โจนส์ ด้วย

นอกจากนี้ โจนส์ ยังเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัย 20 ปีกับ 29 วันที่ยิงประตูเกมเยือนเกมพรีเมียร์ลีกได้ นับตั้งแต่ที่ ราฮีม สเตอร์ลิง (ปัจจุบันเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้) เคยทำได้ในเกมเยือน เบิร์นลี่ย์ เมื่อเดือนธันวาคม 2014 ด้วยวัย 20 ปีกับ 18 วัน

ขณะที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เริ่มกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้งโดยเฉพาะการเปิดบอลบริเวณริมเส้นซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาในช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา นอกจากนี้ เทรนต์ ยังมีโอกาสได้ยิงทดสอบ แรมส์เดล ครั้งสองครั้งในเกมนี้ แม้จะไม่ได้ประตู แต่ฟอร์มโดยรวมถือว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว
 
5. เปิดโอกาสลุ้นอันดับท็อปโฟร์
ไม่รู้ว่าเป็นผลมาจากการแก้ปีชงของแฟนบอล "เดอะ ค็อป" บางกลุ่มหรือเปล่า ทำให้ฟอร์มในเกมเยือน เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ของพวกเขาค่อนข้างโดดเด่น ทั้งๆ ที่ 2 เซนเตอร์แบ็ก กับผู้รักษาประตู ไม่ใช่ตัวหลักที่ไว้วางใจได้เลย

การไม่ชนะใครเลย 4 เกมลีกติดต่อกันส่งผลต่อสภาพจิตใจของทีม และการลุ้นโควตาฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างมาก ฉะนั้นชัยชนะเหนือ "ดาบคู่" จึงเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเปิดโอกาสให้กับทีมในการลุ้นอันดับท็อปโฟร์

ในเวลานี้ "เดอะ เร้ดส์" มีคะแนนตามหลัง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 4 เหลือเพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น ทำให้พวกเขาเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มากยิ่งขึ้น แม้ว่ามันอาจจะค่อนข้างเหนื่อยซักหน่อย แต่ทุกอย่างมีโอกาสเป็นไปได้

อย่างไรก็ตามในแมตช์ต่อไป คล็อปป์ แอนด์โค. มีคิวเปิดรังแอนฟิลด์รับมือ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ของโธมัส ทูเคิ่ล ที่ยังสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นนับตั้งแต่เข้ามากุมบังเหียนทีม และงานนี้พวกเขาก็มีลุ้นอันดับท็อปโฟร์ เช่นกัน ฉะนั้นเกมช่วงกลางสัปดาห์นี้ คงจะเป็นอะไรที่มันสุดๆ เพราะทั้งสองสโมสรเป็นทีมที่เน้นเกมรุก แถมยังมีโควตาถ้วยใบโตยุโรปเดิมพันด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »