บาร์เซโลน่า ต้องสร้างปาฏิหาริย์เท่านั้นในเกมเยือน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง คืนนี้หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้คาบ้านมาในนัดแรกถึง 4-0 ที่คัมป์ นู พวกเขาไม่ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายมาตั้งแต่ปี 2007 แล้วแต่ตอนนี้มีโอกาสสูงทีเดียว อย่างไรก็ตามสงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร ลูกทีมของ โรนัลด์ คูมัน ยังมีโอกาสคัมแบ็กอยู่และนี่คือเหตุผลว่าทำไม บาร์ซ่า มีสิทธิ์จะสร้างปาฏิหาริย์

1.พวกเขาเคยทำได้มาแล้ว

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยังคงจำเหตุการณ์นี้ไม่ลืมเลือนเนื่องจากพวกเขาโดน บาร์เซโลน่า ถีบตกรอบแบบเจ็บช้ำใน ชปล. รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อปี 2017 ทั้งที่นัดแรก เปแอสเช ตุนสกอร์ไว้ก่อนถึง 4 ลูกแล้วแท้ๆ

เชื่อว่าตอนนั้นคงไม่มีใครคิดว่า บาร์ซ่า จะกลับมาได้แล้ว พวกเขามีโอกาสกระเด็นออกจาก ชปล. เร็วที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ ทว่า เมสซี่ และผองเพื่อน กลับมาทำสิ่งที่เหลือเชื่อด้วยการยิง 6 ประตูที่ คัมป์ นู โดยเกมนั้นสามประสาน “เอ็มเอสเอ็น” เนย์มาร์, ซัวเรซ​ และ เมสซี่ มีชื่อบนสกอร์บอร์ดกันครบ

บาร์ซ่า ทำสถิติกลายเป็นทีมเดียวใน ชปล. ที่แพ้ 4-0 นัดแรกแต่กลับมาเข้ารอบได้สำเร็จ ไม่แน่ว่าปาฏิหาริย์นี้อาจเกิดขึ้นอีกก็เป็นได้

2.เปแอสเชกดดันในเกมใหญ่

เปแอสเช เป็นทีมที่อาภัพเหลือเกินในรายการนี้ ตัวอย่างมีให้เห็นจากข้อแรกที่อุตส่าห์ยิง บาร์ซ่า 4-0 แต่กลับตกรอบซะอย่างนั้น แต่นี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่ เปแอสเช เจอประสบการณ์อันเลวร้าย

2 ปีให้หลังจากพ่ายแพ้บาร์ซ่า 6-1 พวกเขาจับสลากมาพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งนัดแรกก็โชว์ฟอร์มสุดแกร่งด้วยการบุกชนะถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด 2-0 แต่นัดที่สองพวกเขาดวงแตกเสียจุดโทษท้ายเกมก่อน มาร์คัส แรชฟอร์ด จะสังหารประตูช่วยให้ “ผีแดง” คัมแบ็กบุกชนะ 3-1 เขี่ย เปแอสเช ตกรอบแบบเจ็บช้ำด้วยอเวย์โกล์

ยิ่งไปกว่านั้นย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 เปแอสเช เคยเปิดบ้านอัด เชลซี ในนัดแรกด้วยสกอร์ 3-1 แต่เลกสองที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ดันบุกแพ้ 2-0 ทำให้กระเด็นตกรอบแบบเหลือเชื่อ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าการบุกชนะ บาร์เซโลน่า 4-1 ในนัดแรกไม่ได้การันตีความปลอดภัยให้กับ เปแอสเช เลย

3.ไม่นานมานี้ก็มีคัมแบ็ก

แม้ว่านี่จะไม่ใช่การคัมแบ็กที่ยอดเยี่ยมที่สุดของบาร์ซ่า แต่การเขี่ย เซบีย่า ตกรอบแบบสุดดราม่าในศึกโกปา เดล เรย์ ที่ผ่านมานับเป็นผลงานที่น่าประทับใจอย่างยิ่งและยังเรียกความมั่นใจให้กับทีมได้อีกด้วย

ทีม “เจ้าบุญทุ่ม” บุกไปพ่ายแพ้ให้กับ เซบีย่า 2-0 ในเลกแรกของ รอบรองชนะเลิศ ซึ่งเกมนั้น อิวาน ราคิติช อดีตมิดฟิลด์บาร์ซ่ามีชื่อทำประตูใส่ทีมเก่าด้วย อย่างไรก็ตามพวกเขากลับมาเอาคืนในเลกสองได้สำเร็จ

มุสซ่า เดมเบเล่ ยิงประตูให้ทีมขึ้นนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 12 หลังจากนั้น เคราร์ด ปิเก้ มาโขกประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 90+4 ทำให้ต้องไปดวลกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อน มาร์ติน เบรธเวท โหม่งประตูชัยให้ทีมคัมแบ็กถล่ม 3-0 ทะยานเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ

4.เปแอสเชแพ้เกมเพรสสูง

เปแอสเชอย่าชะล่าใจ! 5 เหตุผลที่บาร์ซ่าอาจคัมแบ็กเข้ารอบชปล.
ในนัดแรก บาร์เซโลน่า เมาหมัดอย่างหนักกับการเจอแนวรุกเปแอสเชถาโถมเข้ามาใส่และด้วยสกอร์ที่ขาดลอยขนาดนี้ คาดว่ารูปเกมนัดที่สองคงจะเป็นฝั่ง “เจ้าบุญทุ่ม” ที่เดินหน้าเข้าใส่ไม่ยั้งเพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

นอกจากเกมบุกของ บาร์ซ่า ที่ต้องเฉียบขาดแแล้วสำคัญเลยคือการบีบเพรสซิ่งสูงใส่ เปแอสเช เพราะมันจะบังคับให้ทีมของ โปเช็ตติโน่ ขึ้นเกมลำบาก ยังอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการจ่ายบอลด้วย

นี่ไม่ใช่กาคาดเดาเพราะยักษ์ใหญ่แห่งลีกเอิงเคยเจอการเล่นแบบนี้จนเสียประตูบ่อยครั้งในฤดูกาลนี้ ตัวอย่างมีให้เห็นเมื่อเดือนที่แล้วในเกมเปิดบ้านพบ นีซ โดยทีมเยือนมาไล่กดดันสูงใส่ เปแอสเช ที่พยายามเซ็ตเกมจากแดนหลังจนจ่ายบอลพลาดในแดนตัวเองและต่อมาเสียประตูในที่สุด

แม้ว่าผู้เล่น เปแอสเช จะมีคุณภาพและเทคนิคในการเอาตัวรอดดี แต่ยังไงเชื่อว่ามันไม่เพอร์เฟค 100% แน่และหากพวกเขาพลาดกันเองจิตใจคงระส่ำไม่น้อย ดังนั้น บาร์เซโลน่า ต้องโจมตีในจุดนี้ให้ได้

5.ชายชื่อ “เมสซี่”

สำหรับข้อนี้ไม่ต้องสาธยายให้มากเพราะนักเตะคนนี้ทำเรื่องมหัศจรรย์มานักต่อนัก ถ้าหากเขาไม่ต่อสัญญานี่อาจจะเป็นการเล่น ชปล. ครั้งสุดท้ายของ ลีโอเนล เมสซี่ กับ บาร์เซโลน่า และแน่นอนว่าเขาคงไม่ต้องการที่จะจากลาทีมพร้อมกับความผิดหวัง

แม้จะอยู่ในวัย 33 ปีแล้ว แต่ เมสซี่ ยังเป็นคีย์แมนคนสำคัญของทีมและตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงฟอร์มเข้าฝักหลังทำ 12 ประตูจาก 9 เกมลีกหลังสุด โดยยังนำเป็นดาวซัลโวของ ลาลีกา ที่ 19 ประตู สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์จะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญสำหรับเกมคืนนี้