ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » ยูฟ่า /ยูโรป้าลีก/ยูโรคัพ » สู้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล แพ้หมดรูป เรอัล มาดริด

สู้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล แพ้หมดรูป เรอัล มาดริด

Posted 07/04/2021 by siamsport

ลิเวอร์พูล ต้องเจ็บช้ำระกำใจในการออกไปเยือน เรอัล มาดริด เมื่อโดน "ราชันชุดขาว" จัดการไล่ทุบด้วยสกอร์ 1-3 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้เกมเลกสองที่ แอนฟิลด์ สัปดาห์หน้า "หงส์แดง" ต้องเจองานหนักหากอยากผ่านเข้าไปเล่นในรอบตัดเชือก
         
แมตช์นี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนแนวรุกจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เป็น ดีโอโก้ โชต้า ที่ลงประสานงานเป็นตัวจริงกับ ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ขณะที่แผงมิดฟิลด์มีการปรับให้ นาบี เกอิตา ลงสนามแทน ติอาโก้ อัลกันตาร่า แต่ดูเหมือนแท็คติกของ นายใหญ่ชาวเยอรมัน จะไม่เวิร์กในเกมนี้

ตลอดทั้งเกมต้องยอมรับว่า "โลส บลังโกส" ทำผลงานได้เหนือกว่า ลิเวอร์พูล หลายเท่า แต่ในแมตช์ที่สองในสนามแอนฟิลด์ พวกเขายังพอมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่บ้างจากประตูอเวย์โกลของ "บังโม" แม้มันจะค่อนข้างริบหรี่แต่ก็ถือว่ายังดีกว่าไม่มีแสงแห่งความหวัง จริงไหม สาวก "เดอะ ค็อป" !!!

1. วินิซิอุส ฟอร์มโหดยากจะหยุดยั้ง
หนึ่งในนักเตะเจ้าบ้านที่ฟอร์มโดดเด่นเหลือเกินคงหนีไม่พ้น วินิซิอุส จูเนียร์ โดยความรวดเร็วและความคล่องตัวของนักเตะจัดการแนวรับของ ลิเวอร์พูล จนปั่นป่วนไปหมด และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ "หงส์แดง" ต้องออกไปพ่ายยับ

ประตูแรกจากการวางบอลยาวที่สุดคลาสสิคของ โทนี่ โครส โดย วินิซิอุส โชว์การใช้อกพักบอลก่อนจะวิ่งฉีกหนี แนท ฟิลลิปส์ จากนั้นก็สับไกส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างงดงาม หลังจากนั้น ดาวเตะชาวบราซิเลียน ยังคงสร้างปัญหาให้กับเกมรับทีมเยือนได้อยู่เรื่อยๆ

หลังจากที่เสียประตูที่สองจากความผิดพลาดส่วนบุคคล "หงส์แดง" แทบจะไม่สามารถครองเกมได้เลย และไม่มีโอกาสยิงตรงกรอบด้วยซ้ำในครึ่งแรก ขณะที่ครึ่งหลังความหวังของสาวก "เดอะ ค็อป" เริ่มมีบ้างเมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซัดตีไข่แตกได้สำเร็จเป็น 2-1 และทุกอย่างน่าจะดีขึ้น

กระนั้นความยอดเยี่ยมในเกมรุกของ เรอัล มาดริด แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเต็มไปด้วยศักยภาพและความอันตราย โดย คาริม เบนเซม่า โชว์คลาสความยอดเยี่ยมของเขาด้วยการประสานงานกับ ลูกา โมดริช ก่อนที่จะผ่านบอลให้ วินิซิอุส ซัดประตูตอกฝาโลง

งานนี้ต้องบอกว่าแม้สกอร์ 3-1 จะทำให้ "เดอะ เร้ดส์" มีความหวังอยู่บ้างจากการยิงประตูทีมเยือนได้ 1 ลูก แต่หาก "โลส บลังโกส" สามารถเล่นด้วยฟอร์มเหมือนกับเกมแรกแบบนี้ คงยากที่ ลิเวอร์พูล จะสร้างค่ำคืนประวัติศาสตร์เหมือนที่เคยทำกับ บาร์เซโลน่า ได้ 

2. ความผิดพลาดของเทรนต์คือหายนะ
เรอัล มาดริด แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้เล่นของพวกเขาเต็มไปด้วยคลาสระดับโลกอย่างแท้จริง โดยประตูขึ้นนำของ "ราชันชุดขาว" มาจากการวางบอลยาวที่แม่นยำของ โครส และการจบสกอร์ที่เฉียบคมของ วินิซิอุส แต่ประตูที่สองเป็นการลงโทษสำหรับคู่แข่งที่บังอาจเล่นผิดพลาดกับยอดทีมแห่งศึกลา ลีกา สเปน

จังหวะดังกล่าวมาจากการเล่นที่ขาดความละเอียดของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ดันโหม่งคืนหลังไม่ดูตาม้าตาเรือ ซึ่งจังหวะแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับนักเตะที่ได้ชื่อว่ามีประสบการณ์โชกโชนในเวทีลูกหนังทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ

แน่นอนว่าการเล่นที่ผิดพลาดย่อมมีโอกาสที่จะเกิดหายนะได้ แถมการพลาดให้กับ เรอัล มาดริด แบบนี้บอกเลยว่ามีแต่เศร้ากับเซ็ง โดยงานนี้ มาร์โก อาเซนซิโอ จัดการสั่งสอน "เจ้าหนูเทรนต์" ว่าอย่าบังอาจเล่นบอลพลาดแบบนี้เด็ดขาด

อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้รับคำชื่นชอบอย่างมากในเกมที่ช่วย "หงส์แดง" บุกไล่ต้อน อาร์เซน่อล 3-0 ในเกมลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่จากความผิดพลาดครั้งล่าสุดทำให้ความดีความชอบที่เขาเพิ่งสร้างขึ้นมากลายเป็น "ศูนย์" และ "สูญ" ทันที

ฉะนั้นหากแบ็กขวาเลือดผู้ดีวัย 22 ปีอยากที่จะมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษ ไปลุยศึกยูโร 2020 ช่วงซัมเมอร์นี้ เขาต้องรีบพัฒนาฟอร์มการเล่นให้ดียิ่งขึ้น และมีความคงเส้นคงวา ไม่ใช่สามวันดีสี่วันรั่วแบบนี้ ฉะนั้นในเกมเลกสอง นักเตะต้องมีสมาธิในเกมเล่นให้ดีกว่านี้ ถ้าทำไม่ได้นอกจาก "หงส์แดง" จะมีโอกาสตกรอบแล้ว การติดธง "ทรี ไลอ้อนส์" ก็คงริบหรี่ลงเรื่อยๆ
 

3. คล็อปป์พลาดดร็อปติอาโก้
แม้ว่า ติอาโก้ อัลกันตาร่า จะยังไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งได้เหมือนกับที่เขาเคยเล่นให้ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค แต่สำหรับเกมในเวทียุโรปแบบนี้ประสบการณ์ของ ดาวเตะชาวสแปนิช น่าจะสามารถช่วยทีมได้มากกว่าการใช้งาน นาบี เกอิต้า ที่ไม่ค่อยได้ลงสนามเพราะมีปัญหาบาดเจ็บรบกวนมาตลอด

ผลงานของ ดาวเตะชาวกินี แสดงให้เห็นแล้วว่าเขายังไม่สามารถพึ่งพาได้เลย การประสานกับ ฟาบินโญ่ และ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ก็ทำได้ไม่ดีนัก ขณะที่การเชื่อมเกมในแดนหน้าก็ไม่มีให้เห็น แถมเสียบอลง่ายในพื้นที่อันตรายซะด้วย

ฟอร์มโดนรวมของ เกอิต้า ต้องบอกเลยว่าย่ำแย่เหลือทนจริงๆ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะโดนปลี่ยนตัวออกในช่วงท้ายครึ่งแรก และ คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง ติอาโก้ ลงมาแทน ซึ่งก็ช่วยยกระดับเกมขึ้นมาได้เล็กน้อย แต่สร้างความแตกต่างไม่ได้มากนัก

อย่างไรก็ตามจะโทษ เกอิต้า ว่าฟอร์มแย่คนเดียวก็ไม่ได้ เพราะในช่วง 45 นาทีแรกไล่ตั้งแต่ด้านหลังไปจนถึงเกมรุกไม่มีนักเตะคนไหนของ ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้ดีเลย ขณะที่ครึ่งหลังก็ทำได้ดีแค่ช่วงต้นเกมและได้ประตูตีไข่แตก ส่วนที่เหลือก็เข้าอีหรอบเดียวกับฟอร์มในครึ่งแรก

4. ประตูของซาลาห์อาจนำมาสู่จุดเปลี่ยน
ฟอร์มในครึ่งแรกของ ลิเวอร์พูล ต้องบอกเลยว่า "สู้ไม่ได้" จริงๆ แต่ในช่วงพักครึ่งไม่รู้ว่า คล็อปป์ พูดกระตุ้นลูกทีมแบบไหน เพราะเมื่อทีมเยือนลงสนามในครึ่งหลัง พวกเขาโชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นโดยเฉพาะบรรดาสตาร์ประจำทีม 

สาวก "เดอะ ค็อป" ทั่วโลกยอมรับแบบยอมจำนนว่า ลิเวอร์พูล สู้เจ้าบ้านไม่ได้เลยในช่วงครึ่งแรก โดยทีมถูกบุกกดดันจนแทบโงหัวไม่ขึ้น และไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะโดนยิงถึงสองประตู แต่เอาเข้าจริงๆ เสียสองลูกยังถือว่าโชคดีด้วยซ้ำเมื่อมองจากฟอร์มที่ร้อนแรงของ "ราชันชุดขาว"

อย่างไรก็ตามในครึ่งหลัง "หงส์แดง" ฟอร์มร้อนแรงมากขึ้นและสามารถสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ เรอัล มาดริด ได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมาได้ประตูตีไข่แตกจากการประสานงานอย่างยอดเยี่ยมของ ไวจ์นัลดุม ก่อนทจะส่งให้ ดีโอโก้ โชต้า ที่วิ่งหาพื้นที่ว่างเพื่อยิงประตู แม้จังหวะนี้จะแฉลบแนวรับของ เรอัล แต่ก็มีโชคมากพอที่ไปเข้าทาง ซาลาห์ และซัดไม่เหลือซาก

ต้องบอกเลยว่านี่คือประตูสวรรค์สำหรับ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง เพราะแม้บทสรุปในเกมแรกพวกเขาจะแพ้เจ้าของแชมป์ถ้วยใบโตยุโรป 13 สมัยก็ตาม แต่แมตช์ต่อไปที่ แอนฟิลด์ ประตูของ "บังโม" อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนให้ทีมได้ผ่านเข้าไปเล่นรอบตัดเชือกก็ได้

5. สามประสานราชันสุดยอดเกินห้ามใจ
แมตช์นี้ ซีเนดีน ซีดาน เทรนเนอร์ชาวฝรั่งเศส ตัดสินใจใช้สามประสานได้แก่ ลูกา โมดริช, คาเซมิโร่ และ โทนี่ โครส ซึ่งเป็นชุดเดียวกันที่นำ "ราชันชุดขาว" ทุบ ลิเวอร์พูล ในเกมนัดชิงชนะเลิศ เมื่อปี 2018

ปัจจุบัน โมดริช อายุปาเข้าไป 35 ปีแล้ว และสัญญาจะหมดลงหลังจบฤดูกาลนี้ แต่ฟอร์มของเขายังคงยอดเยี่ยมไม่เปลี่ยนแปลง ที่สำคัญการประสานงานกับ กองกลางทีมชาติบราซิล และ โครส ยังเล่นกันได้อย่างมองตารู้ใจ 

ทั้งสามคนช่วยปั้นเกมได้แดนกลางให้ เรอัล มาดริด ได้อย่างสุดยอด และทำให้แผงมิดฟิลด์ "หงส์แดง" เล่นไม่ออกเลย ขณะเดียวกัน โครส กับ โมดริช ยังโชว์ความยอดเยี่ยมด้วยการทำคนละ 1 แอสซิสต์ จากการผ่านบอลให้ วินิซิอุส ซัด 2 ประตู

สำหรับ คาเซมิโร่ ยังมีส่วนในการช่วยเชื่อมเกมแดนกลาง และทำหน้าที่ช่วยเกมรับได้ดีมากๆ โดยจะคอยดักสกัดเกมบุกของ ลิเวอร์พูล ก่อนที่จะหลุดไปถึง เอแดร์ มิลิเตา และ นาโช่ เฟร์นานเดซ สองกองหลังของทีม ซึ่งนั่นทำให้แนวรับแทบไม่ต้องป้องกันอะไรเลย และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ทีมเยือนมีโอกาสยิงแค่ 7 ครั้ง และตรงกรอบครั้งเดียวเท่านั้น

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »