ลิเวอร์พูล มีภารกิจสำคัญในการรับมือ แอสตัน วิลล่า ที่สนามแอนฟิลด์ เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 10 เมษายนนี้ ซึ่งถือเป็นเกมที่มีความสำคัญมากๆ ทั้งในแง่ของการเรียกขวัญกำลังใจ และการแก้แค้นหลังเคยโดน "สิงห์ผงาด" ทำเจ็บแสบมาแล้วช่วงต้นซีซั่นนี้
     สกอร์ 7-2 ยังคงตามหลอนสาวก "เดอะ ค็อป" อยู่จนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นบรรดาขุนพล "หงส์แดง" คงต้องรวมพลังประจัญบานเพื่อจัดการกับคู่กรณีให้ได้ นอกจากนี้การเอาชนะในแอนฟิลด์จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับทุกๆ คนว่าเกมเหย้าของพวกเขากลับมาแกร่งอีกครั้ง

     อย่าลืมว่าแมตช์ต่อจากนี้ "เดอะ เร้ดส์" ต้องรับมือ เรอัล มาดริด ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ เลกสอง กลางสัปดาห์หน้า หากทีมได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ เกมดวล "ราชันชุดขาว" พวกเขาคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตืนรือร้นที่จะพลิกสถานการณ์เพื่อเข้ารอบตัดเชือกให้ได้

1. ฟีร์มีโน่คืนตัวจริงแต่ใครอาจโดนดร็อป ?
     ตามปกติแล้ว คล็อปป์ มักจะไว้วางใจ 3 ประสาน ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ลงทำหน้าที่ไล่ตาข่ายคู่แข่ง ด้วยเพราะทั้งสามคนเล่นกันได้อย่างเข้าขา แถมในช่วงที่ผ่านมา ดีโอโก้ โชต้า มีปัญหาบาดเจ็บ

     สำหรับตอนนี้ โชต้า กลับมาฟิตสมบูรณ์แล้ว และทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมเมื่อได้ลงสนาม แม้บางครั้ง คล็อปป์ จะจับเขาลงเล่นเป็นตัวสำรอง แต่นักเตะก็ทำผลงานได้ดีเยี่ยม ในเกมล่าสุดที่แพ้ เรอัล มาดริด เจ้าตัวก็มีส่วนช่วยให้ "บังโม" ซัดประตูอเวย์โกลด้วย

     แน่นอนว่าผลงานของ โชต้า ย่อมส่งผลกระทบกับ ฟีร์มีโน่ เพราะทุกครั้งที่นายใหญ่ชาวเยอรมันจะส่งเขาลงเล่นไม่ว่าจะตัวจริงหรือสำรอง คนที่ต้องเกี่ยวข้องก็คือ สตาร์ลูกหนังชาวบราซิเลียน แต่ดูเหมือนในเกมรับมือ แอสตัน วิลล่า นักเตะที่จะโดนดร็อปอาจะไม่ใช่ "บ็อบบี้"

     ครั้งนี้หวยอาจจะออกไปที่ มาเน่ เพราะฟอร์มของเจ้าตัวไม่ค่อยดีเลยในช่วงที่ผ่านมา ที่สำคัญ โชต้า สามารถขยับไปเล่นเป็นตัวรุกทางริมเส้นได้ ยิ่งทำให้ คล็อปป์ อาจจะตัดสินใจดร็อปดาวเตะชาวเซเนกัล เพื่อเป็นการสร้างมิติในเกมบุกที่แปลกใหม่
 
2. "หงส์แดง" โล่งใจวิลล่าขาดตัวเก่ง แต่ระวัง วัตกิ้นส์
     หนึ่งในเรื่องที่สาวก "เดอะ ค็อป" โล่งใจเป็นพิเศษสำหรับแมตช์ปะทะกับ วิลล่า ก็คือกรณีที่ แจ็ค กรีลิช กองกลางคนเก่ง มีอาการบาดเจ็บทำให้เจ้าตัวหมดสิทธิ์ช่วย "สิงห์ผงาด" บุกรังแอนฟิลด์ ในวันเสาร์นี้แน่นอน

     มิดฟิลด์คนสำคัญวัย 25 ปี เป็นกำลังหลักของ วิลล่า อย่างแท้จริงโดยฤดูกาลนี้โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ทำไป 7 ประตู และ 12 แอสซิสต์จาก 23 เกมที่ลงสนาม และมีส่วนร่วมกับ 5 ประตูในเกมที่ "สิงห์ผงาด" เปิดบ้านทุบ "หงส์แดง" 7-2 เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา

     ต้องยอมรับว่า กรีลิช คือทุกอย่างของ วิลล่า จริงๆ เพราะนับตั้งแต่ที่เจ้าตัวโชคร้ายบาดเจ็บหัวเข่าช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลงานของต้นสังกัดร่วงกราวรูดตามไปด้วย โดยชนะแค่ 2 จาก 7 เกมในลีก ฉะนั้นการที่พวกเขาขาดจอมทัพไปแบบนี้ ย่อมส่งผลต่อขวัญกำลังใจอย่างมาก

     อย่างไรก็ตาม "หงส์แดง" ก็ตามประมาทเด็ดขาด เพราะถึงทีมเยือนจะไร้ กรีลิช แต่พวกเขายังมีนักเตะฟอร์มโดดเด่นหลายคน โดยเฉพาะ โอลลี่ วัตกิ้นส์ ที่ผลงานใช้ได้แถมยังเคยซัดแฮตทริกในเกมไล่ต้อน ลิเวอร์พูล มาแล้ว

     นอกจากนี้ วัตกิ้นส์ ยังเล่นได้โดดเด่นด้วยการซัดไปแล้ว 13 ประตู จากการลงเล่นให้ วิลล่า รวมทุกรายการ 32 นัด ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ คล็อปป์ ต้องออกมากล่าวชื่นชมนักเตะรายนี้ และยังเป็นการบอกเป็นนัยๆ ว่าแนวรับ "เดอะ เร้ดส์" ห้ามเสียสมาธิเด็ดขาด ไม่งั้นอาจโดนทีเด็ดของ วัตกิ้นส์ ได้  

3. ระบายแค้นสองเท่า
     ทุกๆ คนคงรู้อยู่แล้วว่า ลิเวอร์พูล เคยบุกไปโดน วิลล่า สอนเชิงมาแล้วเมื่อช่วงต้นฤดูกาลนี้ แถมล่าสุดพวกเขาก็เพิ่งจะถูก "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ไล่ต้อนสกอร์ 3-1 ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

     ฉะนั้นหลายกคนอาจจะมองว่าสภาพจิตใจของแข้ง "หงส์แดง" กำลังอยู่ในช่วงระส่ำสุดๆ แต่นั่นเป็นความคิดของคนที่ไม่รู้จัก ลิเวอร์พูล เพราะหากใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้สโมสรแห่งนี้ ย่อมรู้ดีว่าภายในร่างกายของนักเตะกำลังกระตือรือร้นที่จะเรียกผลงานที่สุดยอดกลับคืนมาให้เร็วที่สุด

     กอปรกับการที่่โปรแกรมพรีเมียร์ลีกดันมาประจวบเหมาะให้ ลิเวอร์พูล ต้องพบกับ วิลล่า ที่เคยทำเจ็บช้ำระกำใจเอาไว้ด้วยสกอร์ 2-7 ดังนั้นนี่ถือเป็นโอกาสทองสำหรับบรรดาลูกทีมเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่จะได้ระบายแค้นแบบทบต้นทบดอก

     ไม่ว่าจะเป็นการเอาคืนจากแมตช์ที่โดนไล่ต้อนในถิ่นวิลล่า พาร์ค และการระบายอารมณ์ในแมตช์ที่ไปเยือน "โลส บลังโกส" แม้บางคนอาจจะมองว่าจากการแก้แค้นจะเป็นการ "ย้ำแค้น" แต่คาดว่า คล็อปป์ คงกระตุ้นลูกทีมให้ฮึกเหิมเพื่อปลดปล่อยพลังแห่งความโกรธออกมาอย่างเต็มที่

4. สร้างแอนฟิลด์ให้กลับมามีมนต์ขลังอีกครั้ง
     แอนฟิลด์ เคยได้ชื่อว่าเป็นสนามที่ทำให้คู่แข่งหวาดหวั่นมาแล้ว โดยเฉพาะในเกมพรีเมียร์ลีกที่พวกเขาสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นถึง 68 แมตล และเป็นสถิติไร้พ่ายยาวนานกว่า 3 ปี แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เป็นเหมือนเดิมแล้วนับตั้งแต่ที่พ่ายให้กับ เบิร์นลี่ย์ เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา

     ผลงานของ ลิเวอร์พูล ในการเป็นเจ้าบ้านต้องบอกว่าอาการสาหัสสากรรจ์เหลือเกินหากนับแค่ในลีกพวกเขาสะกดคำว่า "ชนะ" ไม่เป็นมาตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไป 8 แมตช์ติดต่อกันโดยเป็นการแพ้เรียบวุธใน 6 เกมหลังสุด

     ขณะเดียวกันหากนับรวมในการเล่นทุกรายการ "หงส์แดง" เก็บชัยชนะในบ้านได้แค่เกมเดียวจาก 9 แมตช์ที่ผ่านมา โดยแมตช์ดังกล่าวก็คือการชนะ แอร์เบ ไลป์ซิก ในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม

     ยิ่งไปกว่านั้นผลงานในการยิงประตูของทีมกับการเล่นในแอนฟิลด์ก็ย่ำแย่สุดๆ โดยพวกเขาซัดไปเพียง 2 ประตูจาก 8 เกมลีกหลังสุดซึ่งถือว่ายาวนานมากกว่า  3 เดือนที่ทีมมีปัญหาเรื่องการยิงประตูในบ้านตัวเอง นอกจากนี้พวกเขายังแพ้  5 เกมและเสมอ 1 แมตช์โดยที่ยิงประตูไม่ได้ด้วย

     ฉะนั้นนี่คือจุดสำคัญที่ คล็อปป์ ต้องรีบแก้ไขเพราะการเล่นในบ้านถือเป็นข้อได้เปรียบ แต่หากทีมไม่สามารถนำสิ่งนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ถือว่าน่าเสียดายมากๆ 
 
5. คืนฟอร์มก่อนรับมือ เรอัล มาดริด
     หนึ่งในสิ่งที่ คล็อปป์ ต้องกระตุ้นลูกทีมก็คือการพยายามงัดฟอร์มเก่งคืนมาให้ได้ เพราะในแมตช์รับมือ วิลล่า มันไม่ใช่แค่เกมลีกเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนเกมจิตวิทยาในการเรียกขวัญกำลังใจคืนกลับมาก่อนที่ทีมต้องรับมือ เรอัล มาดริด กลางสัปดาห์หน้า

     ผลงานในการออกไปโดนทีมของซีเนดีน ซีดาน กระซวกด้วยสกอร์ 1-3 แน่นอนว่าทำให้ความหวังในการผ่านเข้ารอบตัดเชือกของลิเวอร์พูล เลือนลางเหลือเกิน แต่อย่างน้อยๆ 1 ประตูที่ยิงได้นอกบ้านอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญก็ได้

     ดังนั้น ลิเวอร์พูล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเล่นใหดีที่สุดในเกมพบ แอสตัน วิลล่า เพราะนอกจากจะเป็นการปลุกขวัญกำลังใจให้ฮึกเหิมแล้ว ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยัง เรอัล มาดริด ว่า แอนฟิลด์ ยังคเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง และเป็นนรกสำหรับทีมเยือนเสมอ

     ที่สำคัญการคว้า 3 คะแนนในแมตช์นี้ยังเป็นการต่ออายุการลุ้นอันดับท็อปโฟร์ของ ลิเวอร์พูล ด้วย เพราะเกมระหว่าง สเปอร์ส กับ แมนฯ ยูไนเต็ด จะแข่งกันในวันอาทิตย์ ซึ่งคงทำให้ "ไก่เดือยทอง" กดดันพอสมควร และถ้าพวกเขาสะดุดนั่นหมายถึงโอกาสทองของ "หงส์แดง" ทันที !!