ความเป็นอริคู่แค้นแสนรักระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งในเกมลูกหนังที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่เฉพาะการทำศึก "แดงเดือด" ในสนามเท่านั้น แต่นอกสนามทั้งสองสโมสรยังฟาดฟันกันอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องการแย่งชิงนักเตะที่หมายตาเอาไว้

    ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า "หงส์แดง" กับ "ปีศาจแดง" คือสองสโมสรที่ครอบครองความยิ่งใหญ่ในวงการลูกหนังประเทศอังกฤษมาอย่างยาวนาน  และแน่นอนว่าพวกเขาถือเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากทั้งสุดในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ

    ในยุคของ บ็อบ เพสลี่ย์ "เดอะ เร้ดส์" ทำผลงานได้อย่างน่าเหลือเชื่อเมื่อครองอำนาจตั้งแต่ช่วงยุค 70 ยาวไปจนถึงต้นยุค 80 ขณะที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นำ แมนฯ ยูไนเต็ด ครองความยิ่งใหญ่ในยุคที่การแข่งขันเปลี่ยนมาใช้ชื่อ "พรีเมียร์ลีก" โดยสถิติในปัจจุบัน ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์สูงสุดในประเทศไปแล้ว 19 สมัยตามหลัง "เร้ด เดวิลส์" เพียงแค่ 1 สมัยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตามความเป็นคู่แข่งของพวกเขาไม่ได้มีแค่ในสนามเท่านั้น เพราะเรื่องนอกสนามอย่างในตลาดซื้อขายนักเตะ ทั้งสองทีมก็แย่งชิงผู้เล่นที่เล็งเอาไว้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ล่าสุดพวกเขาเล็ง  อิบราฮิม่า โกนาเต้ กองหลังดาวรุ่งของ แอร์เบ ไลป์ซิก ซึ่งค่าตัวคาดว่าประมาณ 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,520 ล้านบาท) และดูเหมือนว่า "หงส์แดง" จะเอาชนะไปได้อีกครั้ง

    เพื่อเป็นการโหมโรงก่อนเกม "แดงเดือด" ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในวันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคมนี้ เรามาลองย้อนดูการแย่งชิง 5 นักเตะชั้นยอดที่ทั้ง 2 สโมสรสนใจ และบทสรุปกลายเป็นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องน้ำตาตกทั้งหมด !!!

โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่
    หากคุณอยากได้ใครคุณต้องกล้าที่จะเดินทางไปหาคนๆ นั้นถึงที่ ไม่ใช่เอาแต่นั่งรอ ! ซึ่งกรณีของ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ต้องบอกเลยว่าเป็นความน่าเสียดายของ แมนฯ ยูไนเต็ด จริงๆ เพราะนักเตะรายนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาได้สร้างประโยชน์มากมายมหาศาลให้กับ ลิเวอร์พูล

    ในเวลานั้นมีการรายงานว่า "ปีศาจแดง" เป็นสโมสรแรกที่แสดงความสนใจอยากได้ สตาร์ลูกหนังทีมชาติบราซิล มาร่วมทีมเมื่อปี 2015 และแน่นอนว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งใจอย่างมากที่จะคว้า ฟีร์มีโน่ มาเสริมแกร่งให้ได้

    กระนั้นในช่วงเวลาที่ "เร้ด เดวิลส์" กำลังรอคอยให้ ฟีร์มีโน่ เสร็จสิ้นภารกิจในการรับใช้ทีมชาติบราซิล ทำศึกโกปา อเมริกา "หงส์แดง" ได้ใช้โอกาสทองในครั้งนี้บินไปหานักเตะถึงประเทศชิลี (เจ้าภาพ) เพื่อทำการเจรจาและคว้าตัวเขามาเสริมทัพเรียบร้อย

    บทสรุปก็คือ ลิเวอร์พูล ควักกระเป๋าเป็นค่าเสียหายให้กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ จำนวนแค่ 29 ล้านปอนด์ (ราว 1,102 ล้านบาท) เท่านั้น และมันเป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านี่คือการทำธุรกิจที่สุดยอดจริงๆ เพราะเขาช่วยทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และพรีเมียร์ลีก สมัยแรก รวมไปถึงแชมป์อีกหลายๆ รายการ
 

ฟาบินโญ่
    นี่คือนักเตะอีกรายที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มัวแต่เงื้อง่าราคาแพง ยึกๆ ยักๆ ไม่ยอมเอาจริงซะที และทำให้พวกเขาต้องพลากห้องเครื่องชั้นยอดไปเสริมแกร่ง ขณะที่ ลิเวอร์พูล ไม่เสียเวลาคิดมากเพราะพวกเขาเปิดฉากเจรจาเพื่อจะนำตัวมาเสริมทัพให้ได้

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 "ปีศาจแดง" มีข่าวแสดงความสนใจอยากได้ ฟาบินโญ่ มาเสริมัพ แต่เพียงแค่ไม่ถึงสัปดาห์เท่านั้น ลิเวอร์พูล ก็ปาดหน้าเค้กกระชากตัวนักเตะสวมชุด "หงส์แดง" ได้ทันที เพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากที่พวกเขาแพ้ เรอัล มาดริด ในรอบชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก

    สำหรับเรื่องนี้ "เดอะ เร้ดส์" ได้ทำการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเซ็นสัญญากับ กองกลางทีมชาติบราซิล แล้ว ในขณะเดียวกัน ฟาบินโญ่ ยังได้เปิดใจถึงเหตุผลที่เลือกย้ายมาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ เพราะเป็นสโมสรที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาอย่างจริงจัง ไม่เหมือนบางทีม

    "ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าได้มีการพูดคุยกันพอสมควเกี่ยวกับสถานการณ์ของผมที่ โมนาโก แต่มันไม่เคยมีข้อเสนออย่างเป็นทางการจาก (แมนเชสเตอร์) ยูไนเต็ด เลย" มิดฟิลด์สารพัดประโยช์ เผยกับ "โฟร์โฟร์ทู" นิตยสารลูกหนังระดับโลก

ซาดิโอ มาเน่
    จากสองตัวอย่างแรกที่ได้เห็นมาถือว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลาดนักเตะชั้นดีไปอย่างน่าเสียดาย แต่ที่น่าเสียดายยิ่่งกว่านั้นก็คือพวกเขาเคยเกือบได้ตัว ซาดิโอ มาเน่ มาร่วมทัพอยู่แล้ว แต่ทุกอย่างต้องพังทลายเพราะโดน ลิเวอร์พูล แย่งตัวไปหน้าตาเฉย

    ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามเส้นทางของมัน ! โดยในช่วงซัมเมอร์ปี 2016 มาเน่ ซึ่งทำผลงานได้อย่างสุดยอดกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เตรียมแต่งองค์ทรงเครื่องที่จะเป็นนักเตะใหม่แห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เพราะการเจรจาต่างๆ เป็นไปด้วยดี

    แต่แล้วเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลาง "โรงละครแห่งความฝัน" เมื่ออยู่ดีๆ มาเน่ เปลี่ยนใจไปซะดื้อๆ โดยเหตุผลเพราะนักเตะได้รับสายโทรศัพท์ที่สุดสำคัญ ซึ่งทำให้เขาตัดสินใจที่จะขับรถเลี้ยวไปที่สนามแอนฟิลด์แทน

    "ผมเกือบจะได้ย้ายไปที่นั่นอยู่แล้ว เพราะผมได้พบกับพวกเขา (แมนฯ ยูไนเต็ด)" มาเน่ เปิดใจในปี 2019 "ตอนนั้นผมกำลังจะย้ายไปที่นั่น และมีการพูดคุยกับบอสคนก่อนหน้านี้ (หลุยส์ ฟาน กัล) พวกเขายื่นข้อเสนอเข้ามา แต่ในสัปดาห์เดียวกัน คล็อปป์ ก็โทรมาหาผม"

    บทสรุปคงรู้นะว่า มาเน่ ตัดสินใจยังไงเมื่อได้คุยกับ เจอร์เก้นคล็อปป์ !!

 เฟอร์จิล ฟาน ไดค์
    หนึ่งในนักเตะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลาดได้ตัวไปอย่างน่าเสียดาย และเป็นผู้เล่นที่อาจจะทำให้ "ผีแดง" กลับคืนสู่บัลลังก์ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง นั่นก็คือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังจอมแกร่งทีมชาติฮอลแลนด์

    ในตอนนั้น โชเซ่ มูรินโญ ยังนั่งเก้าอี้กุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด เขาสนใจอยากได้ตัว ฟาน ไดค์ ก่อนหน้า ลิเวอร์พูล ด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่า "เฮียมู" คิดทบทวนอย่างถ้วนถี่ และเลือกเซย์โนเขา แต่หันไปคว้าตัว วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ จาก เบนฟิก้า ด้วยค่าตัวที่ถูกกว่ากันเกือบครึ่งต่อครึ่ง

    ขณะที่ ลิเวอร์พูล แสดงความต้องการอยากได้ เซนเตอร์แบ็กเลือดดัตช์ อย่างมาก และไม่เคยที่จะลดละความพยายามในการคว้าตัวเข้ามาร่วมทีมให้ได้ จนกระทั้งความฝันทุกอย่างก็เป็นจริงเมื่อเขาได้ย้ายไปอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยค่าตัวประมาณ 75 ล้านาปอนด์ (ราว 2,850 ล้านบาท)

    สำหรับในกรณีของ ฟาน ไดค์ หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเพราะ แมนฯยูไนเต็ด ปฏิเสธที่จะได้ตัวเขา แต่ถ้ามองอีกมุม เมื่อชื่อของ ลิเวอร์พูล ที่มี คล็อปป์ เป็นกุนซือ แสดงความสนใจอยากได้ตัว นักเตะอาจมองว่าการไปทำงานกับนายใหญ่ชาวเยอรมัน คงมีอนาคตกว่าการอยู่กับ "เฮียมู" ก็ได้

    ซึ่งแน่นอนว่า ฟาน ไดค์ คิดถูก เพราะหลังจากนั้นไม่นาน มูรินโญ่ ก็โดนอับเปหิออกจาก "เธียเตอร์ ออฟ ดรีม" ส่วน แนวรับเลือดดัตช์ คว้าแชมป์เพียบภายใต้สีเสื้อ "หงส์แดง"

ทาคูมิ มินามิโนะ
    การพลาดคว้านักเตะดีๆ ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เคยทำให้พวกเขามีการพัฒนาเรื่องตลาดพ่อค้าแข้งมากนัก เพราะเป็นอีกครั้งที่ "ผีแดง" ต้องพลาดท่าให้กับ ลิเวอร์พูล ในการคว้าตัว ทาคูมิ มินามิโนะ มาเสริมความแข็งแกร่ง

    "ผีแดง" แสดงความสนใจอยากได้ สตาร์ลูกหนังชาวญี่ปุ่น มาร่วมทัพ โดยคาดหวังว่านักเตะจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนกับ ชินจิ คางาวะ จอมทัพรุ่นพี่ชาติเดียวกัน ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มาแล้ว

    ในเวลานั้น มินามิโนะ ทำผลงานได้โดดเด่นมากๆ กับ เร้ดบูลล์ส ซัลซ์บวร์ก แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด พลาดได้ตัวไปเพียงเพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องเงื่อนไขที่อยู่ในสัญญาของนักเตะ ซึ่งอนุญาตให้เขาสามารถย้ายสังกัดได้ด้วยค่าตัวเพียง 7.25 ล้านปอนด์ (ราว 275 ล้านบาท) เท่านั้น

    สุดท้ายนักเตะได้ย้ายมาเล่นกับ ลิเวอร์พูล ช่วงเดือนมกราคมปี 2020 แม้บางคนจะมองว่า มินามิโนะ ไม่ประสบความสำเร็จกับทีม แต่อย่าลืมว่านักเตะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกนะครับ ....คุ้นๆ ไหมคำแบบนี้ !!!