เป็นไปตามที่คาดการณ์กันเอาไว้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สนใจเกมพบ เลสเตอร์ ซิตี้ จริงๆ เพราะดูจากรายชื่อ 11 ผู้เล่นที่ลงสนามตั้งแต่นาทีแรกบอกเจตนาของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นผลการแข่งขันที่ "จิ้งจอกสยาม" บุกมาชนะ 2-1 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่นิดเดียว
   
ทีมสำรองของ "ปีศาจแดง" ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรมากนัก แม้ช่วงต้นเกมอาจจะเล่นสะเปะสะปะไปบ้างจนเป็นเหตุให้โดนยิงนำไปก่อน แต่หลังจากนั้นก็สามารถปรับกระบวนยุทธก่อนจะได้ประตูตีเสมอ และสามารถต่อกรกับทีมชุดใหญ่ของ เลสเตอร์ ได้อย่างสนุกในช่วง 45 นาทีแรก

สำหรับครึ่งหลังต้องบอกเลยว่า เลสเตอร์ เหนือกว่ามากจนกระทั่งได้ประตูสำคัญ จากนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องบุกอีกแล้ว ที่เหลือก็ให้แมนฯ ยูไนเต็ด ครองบอล และเปิดเกมบุกเข้าใส่ แต่ "ผีแดง" ก็ไม่ได้มีความมุ่งมั่นที่จะแลกหมัด พูดง่ายๆ ยิงได้ก็ยิง ยิงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฉะนั้นการเปลี่ยน เอดินสัน คาวานี่, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงสนามก็เพื่อให้นักเตะเหล่านี้ได้ยืดเส้นยืดสายมากกว่า

แน่นอนว่าความพ่ายแพ้ในแมตช์นี้ส่งให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ก็อยู่ในสถานการณ์ที่แข็งแกร่งที่จะคว้าอันดับท็อปโฟร์ สำหรับ ลิเวอร์พูล คงจะต้องหนาวๆ ร้อนๆ เพราะหากเกม "แดงเดือด" วันพฤหัสบดีนี้เก็บ 3 คะแนนไม่ได้ ก็คงต้องโบกมือลาศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้าแน่นอน

1. ตวนเซเบ้-ไบยี่ ยางอะไหล่ชั้นดีที่แมนยูต้องมีเก็บเอาไว้

การขาดหายไปของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ คงทำให้สาวก "เร้ด อาร์มี่" ใจหายพอสมควร เพราะการไม่มีกัปตันทีมพันล้าน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ไม่มีเขาลงตัวจริงในเกมพรีเมียร์ลีก ย่อมส่งผลต่อแนวรับของ "ผีแดง" อย่างมาก แต่ยังไงก็ตาม แมนฯ ยูไนเต็ด ยังพอมีข่าวดีอยู่บ้างนั้นก็คือ แม็กไกวร์ เจ็บไม่หนักอาจฟิตทันเกมนัดชิง ยูโรปา ลีก

สำหรับแมตช์นี้ โซลชา ค่อนข้างทำเรื่องเซอร์ไพรส์ เลือกใช้งาน อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ยืนคู่กับ เอริก ไบยี่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้เล่นร่วมกันนับตั้งแต่แมตช์เฉือน วัตฟอร์ด 1-0 ในศึกเอฟเอ คัพ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ต้องยอมรับว่าหากไม่นับประตูแรกที่เสียไป ทั้ง ตวนเซเบ้ กับ ไบยี่ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมากๆ โดยพวกเขายืนตำแหน่งกันได้ดี และแทบจะไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ เลย โดยเฉพาะ ตวนเซเบ้ ที่ดูเหมือนจะเล่นได้เด่นกว่า และช่วยบล็อกลูกยิงของทัพ "จิ้งจอกสยาม" ได้หลายต่อหลายครั้ง

ตวนเซเบ้ จัดการ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ จนเล่นแทบไม่ออก ขณะที่ ไบยี่ มีความนิ่ง และเยือกเย็นมากๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความรวดเร็วของ เจมี่ วาร์ดี้

ฉะนั้นผลงานของทั้งสองคนน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีมากๆ ที่ทำให้ โซลชา ได้เห็นว่าพวกเขายังมีคู่เซนเตอร์แบ็กยางอะไหล่ชั้นดี และน่าจะสบายใจหากเกิดกรณีที่ แม็กไกวร์ จำเป็นต้องพักร่างกายในบางเกม

2. วิลเลี่ยมส์-เตลลิส เหมาะแล้วที่เป็นแค่สำรอง

หนึ่งในปัญหาที่ โซลชา คงต้องพยายามหาทางแก้ไขในช่วงซัมเมอร์นี้ ก็คือตำแหน่งฟูลแบ็กซ้ายขวา เพราะทั้ง แบรนดอน วิลเลียมส์ กับ อเล็กซ์ เตลลิส ไม่สามารถทำผลงานได้ดีเมื่อได้รับโอกาสลงเป็นตัวจริง

ปกติแล้ว อารอน วาน-บิสซาก้า กับ ลุค ชอว์ จะลงประจำการในตำแหน่งฟูลแบ็กขวา-ซ้ายตามลำดับ แต่เนื่องจากเกมนี้ "น้าลูกอม" ตั้งใจที่จะพักผู้เล่นตัวหลัก เพื่อหวังเอาไว้ฟัดเกม "แดงเดือด" ในวันพฤหัสบดีนี้ จึงเป็นโอกาสทองที่ วิลเลี่ยมส์ กับ เตลลิส จะได้โชว์ของ !

แต่บอกเลยว่าตลอดทั้งเกมที่พวกเขาลงสนามแทบจะไม่สามารถสร้างสรรค์เกมรุกให้กับทีมได้เลย ในขณะที่เกมรับก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก โดยประตูแรกที่ ลุค โธมัส ยืนอยู่โล่งๆ ได้ซัดสบายๆ ขณะที่ วิลเลี่ยมส์ ดันวิ่งเข้าไปอยู่ตรงกลาง

ส่วน เตลลิส ผลงานก็ไม่แตกต่างกัน ไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จังหวะการเปิดบอลก็ขาดความแม่นยำ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองคนต้องใช้เวลาอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรองเป็นส่วนใหญ่

เชื่อว่าในช่วงซัมเมอร์นี้ โซลชา คงจะต้องมีการขยับเรื่องตำแหน่งฟูลแบ็กเพื่อทั้งสองฝั่งแน่นอน เพราะหากทีมมีแค่ วิลเลี่ยมส์ กับ เตลลิส เป็นยางอะไหล่ งานนี้อาจจะส่งผลกระทบกับทีมในกรณีที่ วาน-บิสซาก้า และ ชอว์ ไม่สามารถลงสนามได้

3. กรีนวู้ดฟอร์มกลับมาเรื่อยๆ

ตอนนี้ต้องยอมรับว่า เมสัน กรีนวู้ด กลับมาอยู่ในช่วงฟอร์มร้อนแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะการทำหน้าที่เป็นหน้าเป้าในแมตช์นี้ ซึ่งเขาทำได้โดดเด่นมาก และแน่นอนว่าฟอร์มแบบนี้คงทำให้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ คงอยากใส่ชื่อเขาเป็นหนึ่งในขุนพลลุยศึกยูโร 2020 ช่วงซัมเมอร์นี้

กรีนวู้ด ซึ่งปกติแล้วมักจะถูกจับถ่างไปเล่นเป็นตัวรุกริมเส้น เพราะจะได้ใช้ความรวดเร็วเพื่อจัดการแนวรับคู่แข่ง แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่มั่นใจ กล้าที่จะกระชากลากเลื้อย โดยเฉพาะจังหวะที่ยิงประตูตีเสมอถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ

ดาวเตะเลือดผู้ดี โชว์ให้เห็นถึงทักษะ, ความเชื่อมั่นในตัวเอง และความกล้าในการลากเลื้อยทั้งๆ ที่มีผู้เล่น เลสเตอร์ อยู่หลายคน แต่เจ้าตัวเชื่อมั่นในความเร็วของตัวเองวิ่งแหวกแนวรับก่อนจะซัดอย่างเฉียบคม

ไม่ใช่แค่จังหวะนี้เท่านั้น เพราะตลอดช่วงเวลาที่ กรีนวู้ด อยู่ในสนาม เขาใช้ความเร็ว และความคล่องตัวเพื่อจัดการแนวรับของ "เดอะ ฟ็อกซ์" ฉะนั้นการได้รับโอกาสทำหน้าที่เป็นหน้าเป้าในแมตช์นี้ถือว่าเป็นการเค้นฟอร์มเก่งของเขากลับมาอีกครั้ง

ผลงานซัด 6 ประตูจากการเล่น 6 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก คงทำให้บรรดาแฟนผีโปรเจกต์แฮปปี้สุดๆ เพราะพวกเขากำลังจะได้ กรีนวู้ด คนเดิมแต่เพิ่มเติมคือศักยภาพในการเล่นที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 
4. ฟาน เดอ เบ็ค ฟอร์มยังน่าผิดหวัง

โอกาสทองเป็นของคนที่พร้อมเสมอ ! แต่ดูเหมือน ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค จะโยนโอกาสทองของเขาทิ้งไปอีกครั้ง และฟอร์มของนักเตะในเกมนี้ยังไม่สามารถตอบคำถามที่ว่า "ทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงทุ่มเงิน 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,600 ล้านบาท) เพื่อดึงเขามาร่วมทีม ?"

หลายคนอาจจะมองว่าฟอร์มของ ฟาน เดอ เบ็ค ในเกมนี้ไม่ค่อยดีนักมาจากการที่เขาได้ลงเล่นตัวจริงเกมลีกแค่ 2 แมตช์เท่านั้นในฤดูกาลนี้ ซึ่งอาจจะทำให้นักเตะยังไม่คุ้นชินกับการเล่น และความมั่นใจอาจจะขาดหายไปบ้าง

กระนั้นคงจะโทษ โซลชา ไม่ได้ที่ไม่ให้โอกาส มิดฟิลด์ชาวดัตช์ ลงสนาม เพราะผลงานที่ผ่านมาของเจ้าตัวไม่เคยสร้างความประทับใจได้เลย ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงในฟุตบอลถ้วย หรือลงเป็นตัวสำรองในเกมลีก

แมตช์นี้ ฟาน เดอ เบ็ค ขาดพละกำลัง และความมุ่งมั่นในการเล่น สวนทางกับ เนมานย่า มาติช ที่แม้จะไม่ค่อยได้มีโอกาสลงสนามมากนัก แต่ผลงานในเกมนี้โดดเด่นมากๆ ที่สามารถคุมจังหวะเกม, ครองบอลเหนียวแน่น และบัญชาเกมแดนกลางได้อย่างยอดเยี่ยม

แน่นอนว่าไม่มีใครสงสัยเรื่องศักยภาพของ ฟาน เดอ เบ็ค เพราะเขาถือเป็นหนึ่งในเพชรน้ำงามวงการลูกหนังดัตช์ตั้งแต่สมัยเล่นให้อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม แต่สิ่งเดียวที่นักเตะต้องรีบทำก็คือปรับตัวให้เร็วที่สุดเพื่อโอกาสที่จะได้เล่นตัวจริง ไม่อย่างนั้นคงได้มีสนับติดก้นในซุ้มม้านั่งสำรอง หรือโดนเลหลังขายทิ้งก็ได้

5. "แดงเดือด" ปิดบัญชีโหด
เกมรับมือ เลสเตอร์ ซิตี้ หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่า โซลชา ยอมปล่อยเพราะต้องการเก็บผู้เล่นตัวหลักให้มีสภาพร่างกายสด และฟิตเปรี๊ยะที่สุดในการทำศึก "แดงเดือด" ดวล ลิเวอร์พูล ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ด้วยการที่แมตช์นี้เลื่อนมาจากช่วงต้นเดือนพ.ค. ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเจอโปรแกรมสุดหนักเพราะพวกเขาได้มีเวลาพักแค่วันเดียวเท่านั้น หลังเกมที่โดน เลสเตอร์ บุกมาสอยคา "โรงละครแห่งความฝัน"

แม้ว่าความพ่ายแพ้จะส่งให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกอย่างเป็นทางการ แต่ภารกิจของ โซลชา กับลูกทีมยังไม่จบ และดูเหมือนว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขานอกจากเกมนัดชิง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก แล้ว ก็ต้องเป็นแมตช์ปะทะ ลิเวอร์พูล วันพฤหัสบดีนี้

ลองคิดดูสภาพทีมแมนฯ ยูฯ เต็มไปด้วยนักเตะที่มีความฮึกเหิมและมั่นใจสุดๆ สวนทางกับ ลิเวอร์พูล ที่ยังหาฟอร์มแชมป์ไม่เจอซะที ฉะนั้นการพบกันครั้งนี้บอกเลยว่า "ปีศาจแดง" ได้เปรียบมากโข แม้จะพักฟื้นร่างกายเพียงแค่วันเดียวก็ตาม

อย่าลืมว่าแรงจูงใจที่สำคัญมากๆ ในเกม "แดงเดือด" ก็คือหาก แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะนอกจากจะเป็นการตอกย้ำความแค้นให้สาวก "เดอะ ค็อป" แล้ว ยังแทบจะปิดโอกาสคว้าท็อปโฟร์ของลิเวอร์พูล ไปด้วย

แล้วแบบนี้จะไม่ให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใส่เต็มสูบได้ยังไง จริงอะปะ !!!