ก็องเต้คีย์แมน,วาร์ดี้-อิเฮียนาโช่ความหวังทำลายเกมรับ! 5 ประเด็น ชิงฯเอฟเอคัพ
Posted 15/05/2021 by siamsport
ศึกเอฟเอ คัพ ประจำฤดูกาลนี้จะได้รู้กันแล้วว่าทีมไหนจะผงาดคว้าแชมป์ไปครอบระหว่าง เชลซี กับ เลสเตอร์ ซิตี้ โดยการฟาดแข้งแมตช์นี้จะเป็นการวัดกึ๋นของสองกุนซือคลั่งเกมบุกอย่าง โธมัส ทูเคิ่ล และ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
ทูเคิ่ล เข้ามาคุม "สิงห์บลูส์" พร้อมปรับเปลี่ยนทีมจากที่กำลังจะล่องจุ้นไม่ได้ลุ้นอะไรเลยจนก้าวเข้ามาเล่นเกมนัดชิงถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แถมยังลุ้นติดท็อปโฟร์ด้วย
ขณะที่ เลสเตอร์ เต็มไปด้วยแรงกระตุ้นที่จะคว้าแชมป์รายการนี้ให้ได้ เพราะพวกเขาพลาดมาแล้วถึง 4 ครั้ง และนี่คือโอกาสทองของ "บีร็อด" ที่จะเป็นกุนซือคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร ที่สามารถนำโทรฟี่ใบนี้กลับไปตั้งในตู้โชว์เกียรติยศหลังจากรอคอยมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
1. ลุ้นแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยแรกของ เลสเตอร์ ซิตี้
เลสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นสโมสรที่ได้รับการยกย่องอยากมากในเรื่องพัฒนาการของทีม นับตั้งแต่ที่ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อฤดูกาล 2015/16 แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขายังขาดหายไปนั่นก็คือโทรฟี่ เอฟเอ คัพ ซึ่งนี่จะเป็นโอกาสทองที่ "จิ้งจอกสยาม" จะนำถ้วยใบนี้ไปประดับที่ตู้โชว์ในสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม
จะว่าไปแล้ว "เดอะ ฟ็อกซ์" ถือว่าเป็นทีมที่เจ็บช้ำระกำใจในการเล่นนัดชิงฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเคยมีโอกาสได้ลุ้นสัมผัสโทรฟี่รายการนี้มาแล้ว 4 ครั้งแต่สุดท้ายก็กินแห้วเรียบวุธ
สิ่งที่น่าเศร้าก็คือไม่เคยมีสโมสรไหนที่ได้เข้าชิงเอฟเอ คัพ แล้วไม่เคยได้ยกถ้วยแชมป์มากไปกว่า เลสเตอร์ อีกแล้ว เพราะพวกเขาได้เข้ามาเหยียบสังเวียนเวมบลีย์ถึง 4 ครั้งแต่ก็ต้องกลับออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาแห่งความเศร้า
เลสเตอร์ แพ้ในเกมนัดชิงครั้งแรกในแมตช์พบ วูล์ฟส์ 1-3 เมื่อปี 1949 จากนั้นในช่วงทศวรรษที่ 60 คือ 10 ปีแห่งความเจ็บปวดของ เลสเตอร์ อย่างแท้จริง เพราะพวกเขาพ่ายให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 0-2 และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-3 ในปี 1961 กับ 1963 ตามลำดับ ถัดมาอีก 6 ปีก็โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดับฝันสกอร์ 0-1 ซึ่งในเวลานั้น ปีเตอร์ ชิลตัน ในวัย 19 ปีสวมบทนายทวารให้กับ "เดอะ ฟ็อกซ์"
สำหรับในเกมนัดชิงวันเสาร์นี้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส แอนด์โค. เต็มไปด้วยแรงกระตุ้นที่จะนำความสำเร็จในรายการนี้้มาประดับเอาไว้ที่สโมสรให้ได้ และนี่เป็นโอกาสทองที่จะมอบความสุขให้กับแฟนบอลของพวกเขาในซีซั่นนี้
2. ทูเคิ่ล บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงเชลซี
ไม่มีใครสงสัยหรือตั้งคำถามเรื่อความสามารถขอ โธมัส ทูเคิ่ล อีกต่อไปแล้ว เพราะนับตั้งแต่ที่เขาเข้ามากุมบังเหียน เชลซี แทนที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา "สิงโตน้ำเงินคราม" กลับมามีเขี้ยวเล็บที่สุดแหลมคม และอันตรายในทุกตำแหน่ง
ผลงานที่สามารถนำ เชลซี เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศทั้ง เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับระยะเวลาในการกุมบังเหียนเกือบ 4 เดือน คงทำให้หลายคนไม่กล้าที่จะประหม่าฝีมือของ ทูเคิ่ล ได้เลยจริงๆ
นายใหญ่ชาวเยอรมัน มาพร้อมกับปรัชญาในการคุมทีมด้วยระบบ 3-4-3 แถมยังเป็นคนที่สามารถรวมพลังนักเตะ "สิงห์บลูส์" ให้กลับมามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกครั้ง ซึ่งต้องบอกเลยว่านี่คือจุดสำคัญที่ทำให้ เชลซี ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น
ที่สำคัญแท็กติกที่ ทูเคิ่ล นำมาใช้กับทีมช่วยทำให้เกมรับของพวกเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ในขณะที่เกมรุกต้องบอกเลยว่าสุดโหด เพราะด้วยคุณภาพของนักเตะที่มีอยู่ในทีม กอปรกับการวางหมากที่สุดเฉียบคม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ เชลซี จะมีเกมบุกที่อันตรายมากๆ
อย่าลืมว่า ทูเคิ่ล คือกุนซือที่สร้างรอยแผลที่เจ็บลึกเอาไว้กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพราะเขาเป็นคนนำทีมเขี่ย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกรอบตัดเชือกรายการนี้ แถมเกมลีกนัดล่าสุดที่ทั้งสองทีมมาเจอกัน เขาก็โชว์กึ๋นแก้เกมจนนำทีมพลิกกลับมาชนะได้อย่างสุดยอดด้วย
3. ก็องเต้ ห้องเครื่องสำคัญเชลซี
เลสเตอร์ และ เชลซี ต่างรู้กันดีว่า เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เป็นนักเตะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพ และคุณภาพมากแค่ไหน เพราะนักเตะคนนี้คือแข้งที่ปิดทองหลังพระในการนำทั้ง 2 สโมสรคว้าแชมป์ลีกมาแล้ว
ในแมตช์ที่ เชลซี พ่ายให้กับ อาร์เซน่อล เกมลีกเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็องเต้ พลาดลงสนามเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สาวก "สิงห์บลูส์" ต่างภาวนาว่าขอให้ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ หายทันในเกมนัดสำคัญวันเสาร์นี้ และตอนนี้ถือเป็นข่าวดีมากๆ เพราะเจ้าตัวกลับมาฟิตสมบูรณ์แล้ว
ก็องเต้ ถือเป็นคีย์แมนสำคัญของทีมในการนำสโมสรโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าพ่อภาคพื้นพิภพ เพราะสถิติของนักเตะแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถวิ่งไปได้ทั่วสนามแบบไม่มีอาการเหนื่อยล้าให้เห็น และมีส่วนกับการสร้างโอกาสให้กับทีมมากมาย
ยกตัวอย่างในเกมรอบตัดเชือกรายการนี้ที่ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับแมตช์ปราบ เรอัล มาดริด ในรอบรองฯ ศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้ง 2 เลก ก็องเต้ เป็นนักเตะที่วิ่งพล่านไปทั่วสนาม และคอยทำหน้าที่เชื่อมเกมรุกให้ทีม รวมทั้งตัดเกมคู่แข่งได้ตลอด
งานนี้ ร็อดเจอร์ส มีโจทย์สำคัญที่จะต้องแก้ไข เพราะเขาต้องหาแท็กติกเพื่อที่จะตัด ก็องเต้ ออกไปจากเกมให้ได้ ซึ่งหากทำได้งานนี้เขี้ยวเล็บของ "สิงห์บลูส์" จะลดประสิทธิภาพลงไปเยอะ แต่หากทำไม่ได้ชะตากรรมมีสิทธิ์เหมือน "เรือใบสีฟ้า" และ "ราชันชุดขาว"
4. วาร์ดี้-อิเฮียนาโช่ คีย์แมนที่จะทำลายกำแพงหิน "สิงห์บลูส์"
อีกหนึ่งจุดที่ ร็อดเจอร์ส จำเป็นต้องทำถ้าหากเขาอยากเป็นกุนซือคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรที่นำแชมป์ เอฟเอ คัพ มาประดับตู้โชว์ นั่นก็คือการที่จะต้องหาวิธีจัดการกับเกมรับที่สุดเหนียวแน่นของ เชลซี ให้ได้
เชลซี ภายใต้การบริหารงานดีมีคุณภาพของ ทูเคิ่ล สามารถเก็บคลีนชีต (ไม่เสียประตู) ได้ถึง 19 แมตช์จาก 26 เกม ที่สำคัญในเกม เอฟเอ คัพ เขายังไม่เสียประตูให้กับทีมใดเลย ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแผงหลังของ "สิงห์บลูส์" อยากจะเจาะเข้าไปทำประตูได้จริง
อย่างไรก็ตาม "เดอะ ฟ็อกซ์" ในยุค "บีร็อด" ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกันโดยเฉพาะเกมรุกที่มีความหวือหวาและอันตรายมากๆ แม้ เจมี่ วาร์ดี้ อาจจะฟอร์มฝืดไปบ้างในช่วงหลังโดยยิงได้แค่ 2 ประตูจาก 24 เกม สวนทางผลงานก่อนช่วงครึ่งซีซั่นแรกที่ซัดไป 13 ประตูก่อนคริสต์มาส แต่ด้วยประสบการณ์และความรวดเร็วของเขายังถือว่าเป็นหัวหอกที่อันตรายรวมทั้งสร้างความปั่นป่วนให้แนวรับ เชลซี ได้
ในขณะเดียวกัน เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวความหวังในการยิงประตูให้กับทีม เมื่อเขาตะบันไปแล้ว 15 ประตูจาก 17 เกมหลังสุด แถมมีสถิติสวยหรูในถ้วยใบนี้เมื่อซัลโวไปถึง 14 ประตูจาก 19 เกมที่ลงสนามในรายการนี้ (เลสเตอร์ และ แมนฯ ซิตี้)
ฉะนั้นต้องยอมรับว่าคู่หู วาร์ดี้-อิเฮียนาโช่ จะเป็นความหวังสูงสุดของทีมที่จะยุติ 52 ปีแห่งการรอคอยโทรฟี่ เอฟเอ คัพ ไปตั้งตระหง่านในสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม
5. แฟนบอลเข้าชมเกมมากที่สุดหลังโควิดระบาด
หนึ่งในเรื่องที่น่าดีใจที่สุดสำหรับนัดชิง เอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้ก็คือการได้เห็นแฟนบอลกลับเข้าชมเกมที่สนามเวมบลีย์ในจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่ที่รัฐบาลเมืองผู้ดีประกาศคลายล็อกดาวน์ เพราะเราจะได้เห็นคอลูกหนังเข้าไปเชียร์ทีมรักมากถึง 21,000 คนเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้รัฐบาลอังกฤษ อนุญาตให้มีแฟนบอลเข้าไปในสนามได้เพียงแค่ 8,000 คนในเกมนัดชิงชนะเลิศ ศึกคาราบาว คัพ ที่สนามเวมบลีย์ ในแมตช์ที่ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
จากเกมนั้นแสดงให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะค่อยๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่กระนั้นแฟนบอลที่จะเข้าไปชมในสนามสดๆ ได้ต้องเป็นคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วเท่านั้น รวมทั้งคนที่มีผลตรวจโควิดเป็นลบภายในระยะเวลา 36 ชั่วโมงก่อนที่เกมฟาดแข้ง
ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่คอบอลต้องปฏิบัติก็คือการเว้นระยะห่างทางสังคม, สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และล้างมือให้สะอาด ฉีดแอลกอฮอลฆ่าเชื้อ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อร้าย
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นหากการเข้าชมเกมจำนวนหลายหมื่นคนในเกมนี้ประสบความสำเร็จ มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เห็นแฟนบอลได้เข้าไปชมเกมสดๆ ในศึกยูโร 2020 ที่สนามเวมบลีย์ ในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน
อัปเดตอันดับโลกหลัง ทีมชาติไทย แพ้ เกาหลีใต้, เวียดนามร่วงรูด
ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง! คาดชื่อ23แข้ง อังกฤษ ชุดสู้ศึกยูโร2024
ชาบี อลอนโซ่ ส่ออยู่ เลเวอร์คูเซ่น ต่อ-ลิเวอร์พูล เบนเป้าหาคนอื่นแล้ว
แมนยู หมดห่วง!ยูฟ่า การันตีบู๊ถ้วยยุโรปพร้อม นีซ ได้
สองฝั่งโต้กันเดือด เอเยนต์ อัลฟอนโซ่ เดวิส งัดข้อกับผอ.กีฬา บาเยิร์น มิวนิค
อัลบั้มภาพเด็ดๆ
ฮาน่า ฮาอึน ชอง ดาว TikTok สาวสว...
นาฟ ฉัฐนันท์ ปล่อยแซ่บท้าลมหนาว ...
เต็มที่แล้ว! ไทย พ่าย อุซเบกิสถา...
ตัดเกรด นักเตะไทย เกมเสมอ โอมาน ...
"ศุภชัย" ซัดเบิ้ล! ไทย ทุบ คีร์ก...
โดนรัวครึ่งหลัง! ไทย บุกพ่าย ญี่...
คลิปไฮไลท์