อิตาลี และ อังกฤษ เป็น 2 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลยูโร 2020 ซึ่งจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นจ้าวแห่งทวีปยุโรป “อัซซูร์รี่” ของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ถือเป็นตัวเต็งของรายการนี้และพวกเขาโชว์ให้เห็นศักยภาพของทั้งเกมรุกและเกมรับที่แข็งแกร่งมาก ขณะเดียวกัน “สิงโตคำราม” ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต แม้จะโดนข้อครหาหลายอย่างแต่พวกเขายังฝ่าด่านมาได้สำเร็จพร้อมกับเข้าใกล้ทำความฝันที่จะนำ “ฟุตบอล” กลับสู่บ้านให้เป็นจริง ก่อนเกมหยุดโลกคืนนี้เรามาดู 5 ที่น่าสนใจเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยกัน
1.อังกฤษ ไร้ชัยเหนือ อิตาลี 6 นัดหลังที่เจอกัน

    การที่ อังกฤษ ทะลุเข้าไปรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 2018 ถือว่าเซอร์ไพรส์อยู่พอสมควรแต่ในฟุตบอลยูโร 2020 คงไม่เซอร์ไพรส์เท่าไหร่นักที่พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเพราะว่า อังกฤษ พัฒนาขึ้นมากภายใต้การคุมทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต แม้ว่าหลายๆครั้งจะโดนคำวิจารณ์หนักก็ตาม

    “สิงโตคำราม” มีสถิติพอใช้ได้ในการเจอกับ อิตาลี โดยชนะ 8 จากทั้งหมด 27 เกม (เสมอ 11 ครั้ง) แต่ทว่าที่น่าเป็นห่วงคือพวกเขาไม่ชนะ “อัซซูร์รี่” ในการเจอกัน 6 ครั้งหลังสุดหากนับเฉพาะทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ซึ่งชัยชนะครั้งล่าสุดต้องย้อนกลับไปถึงฟุตบอลโลก 1977 ที่ อังกฤษ ชนะ อิตาลี 2-0 ณ สนาม เวมบลี่ย์ สเตเดี้ยม

    หนล่าสุดที่ทั้งสองทีมเจอกันในฟุตบอลทัวร์นาเมนต์เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 2014 ซึ่ง อิตาลี เอาชนะ อังกฤษ 2-1 จากประตูของ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ และ มาริโอ บาโลเตลลี่

2.อังกฤษ ชนะดวลจุดโทษแค่ 1 จาก 4 ครั้งในยูโร

    อังกฤษ ไม่ถูกโฉลกกับการต้องดวลฎีกาเท่าไหร่เนื่องจากมีสถิติการชนะดวลจุดโทษในทัวร์นาเมนต์ใหญ่แค่ 3 ครั้งแต่พ่ายแพ้มากถึง 6 ครั้ง ซึ่งถ้าหากนับเฉพาะฟุตบอลยูโรก็ถือว่าชนะดวลเป้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยเกิดขึ้นในเกมกับ สเปน ที่ อังกฤษ ชนะจุดโทษ 4-2 ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลยูโร 1996 ก่อนที่พวกเขาจะพ่ายดวลเป้าให้กับ เยอรมัน 5-6 ในรอบรองชนะเลิศ

    นับตั้งแต่นั้นมา “ทรีไลอ้อนส์” ก็ยังไม่เคยเอาชนะดวลจุดโทษในฟุตบอลยูโรอีกเลย โดยสองครั้งหลังสุดที่พ่ายแพ้ดวลเป้าเกิดขึ้นในยูโร 2008 ที่ปราชัยต่อ โปรตุเกส 5-6 และยูโร 2012 ที่แพ้ต่อ อิตาลี 2-4

    ขณะที่ อิตาลี มีสถิติชนะดวลจุดโทษในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ 5 จาก 12 ครั้งแต่ที่น่าสนใจคือพวกเขาชนะดวลเป้าได้ถึง 3 จาก 5 ครั้งในฟุตบอลยูโร ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการชนะ อังกฤษ เมื่อ 9 ปีที่แล้ว

3.มีเพียง 3 ทีมที่คว้าแชมป์ยูโรในบ้าน

    เป็นเวลาเกือบ 4 ทศวรรษแล้วที่ไม่มีเจ้าภาพคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรซึ่ง อังกฤษ อาจจะมีสิทธิ์หยุดสถิตินี้ลงได้ในวันอาทิตย์นี้ ความจริงแล้วมีเจ้าภาพเพียง 6 ชาติเท่านั้นที่เคยผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร โดย 2 ชาติล่าสุดที่ทำได้คือ ฝรั่งเศส (2016) และ โปรตุเกส (2004) ซึ่งพลาดแชมป์ทั้งคู่

    ส่วน 3 ชาติที่เป็นเจ้าภาพแล้วสามารถคว้าแชมป์ยูโรได้แก่ สเปน (ชนะ สหภาพโซเวียต 2-1 ปี 1964), อิตาลี (ชนะ ยูโกสลาเวีย 2-0 ปี 1968) และ ฝรั่งเศส (ชนะ สเปน 2-0 ปี 1984)

    ขณะที่ อังกฤษ ยังไม่เคยพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศหากชิงในบ้าน (ชนะ เยอรมันตะวันตก 4-2 ในปีฟุตบอลโลกปี 1996)

4.อิตาลี จ่อทำสถิติใหม่ระยะห่างการคว้าแชมป์ยาวนานที่สุด

    แม้ในตอนแรก อิตาลี ถูกมองว่าเป็นม้ามืดในยูโรครั้งนี้แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่งมากจึงทำให้พวกเขากลายเป็นตัวเต็งลำดับต้นๆของทัวร์นาเมนต์

    “อัซซูร์รี่” ไร้พ่ายมา 33 นัดติดต่อกัน นับเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วนับตั้งแต่ที่ อิตาลี พ่ายแพ้ โปรตุเกส ในฟุตบอล เนชั่นส์ ลีก ปี 2018 ทำให้พวกเขาทุบสถิติสูงสุดของตัวเองที่เคยไร้พ่าย 30 นัดเมื่อปี 1935-1939

    นี่ถือเป็นการเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรครั้งที่ 4 ของพวกเขาหรือเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ถ้า มันชินี่ สามารถพา อิตาลี คว้าแชมป์ได้จะถือเป็นสมัยที่ 2 และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1968 เลยทีเดียว (หรือรวมทั้งสิ้น 53 ปี) นั่นทำให้ทำลายสถิติ 44 ปีของ สเปน ที่เว้นระยะห่างคว้าแชมป์จากปี 1968 จนมาคว้าแชมป์อีกทีในปี 2008

5.อังกฤษ จะกลายเป็นชาติที่ 11 ที่คว้าแชมป์ยูโร

    หลังจากที่ อังกฤษ เอาชนะ เดนมาร์ก จนเข้าชิงฟุตบอลยูโรเป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ “สิงโตคำราม” กลายเป็นชาติที่ 13 ที่ผ่านเข้ามาสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร

    ถ้าหากพวกเขาสามารถคว้าชัยชนะที่ เวมบลีย์ ในวันอาทิตย์นี้ “ทรี ไลอ้อนส์” จะกลายเป็นชาติที่ 13 ที่สามารถคว้าแชมป์ยูโรได้สำเร็จ พร้อมเป็นชัยชนะเหนือ อิตาลี ครั้งแรกในทัวนร์นาเมนต์ใหญ่ในรอบ 44 ปี