เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมันนำทัพ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มสุดโหดบุกไล่ยำ ลีดส์ ยูไนเต็ด 3-0 ที่สนามเอลแลนด์ โรด ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา แต่ต้องเซ่น ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่เจ็บหนักจนต้องหามออกจากสนาม
     
สามประตูของ "เดอะ เร้ดส์" ได้จาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ฟาบินโญ่ และซาดิโอ มาเน่ โดยสามคำแนนในเกมนี้ส่งให้ ลิเวอร์พูล มี 10 แต้มเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่าฝูง และ เชลซี แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คืออาการบาดเจ็บของ เอลเลียตต์

ในเวลานี้ คล็อปป์ เปิดเผยว่า ดาวรุ่งวัย 18 ปีได้รับบาดเจ็บข้อเท้าหลุด แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันจากสโมสรว่าหนักหนาสาหัสแค่ไหน เพราะต้องรอผลการสแกนอย่างละเอียดอีกครั้ง ฉะนั้นสาวก "เดอะ ค็อป" คงต้องภาวนาให้ เอเลียตต์ เจ็บไม่หนักเพราะตอนนี้ต้องยอมรับว่าเขาคือหนึ่งในแข้งคีย์แมนของทีมประจำซีซั่นนี้ไปแล้ว

1. ซาลาห์ขึ้นทำเนียบหนึ่งในตำนานพรีเมียร์ลีก
ถือว่าเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จริงๆ เพราะประตูแรกที่ยิงให้กับ "หงส์แดง" ขึ้นนำ ลีดส์ ยูไนเต็ด ได้นำเขาเข้าสู่หนึ่งในยอดดาวยิงประจำลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเรียบร้อย

"คิง ออฟ อียิปต์" สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาขายในเกมพรีเมียร์ลีก จำนวน 100 ประตูเรียบร้อยแล้ว โดยใช้เวลาในการลงเล่นจำนวน 162 แมตช์ ขึ้นมาติดอันดับ 5 ส่วนเบอร์ 1 ยังคงเป็น "ฮอตชอต" อลัน เชียเรอร์ ตำนานทีมชาติอังกฤษ ที่ใช้เวลาเพียงแค่ 124 เกมเท่านั้น

ต้องยอมรับว่า ซาลาห์ ยังรักษาฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม และคงเส้นคงวาให้กับ ลิเวอร์พูล มาตลอด โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ที่เขายังโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น และเป็นที่พึ่งของทีมในการยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับเกมเยือนเอลแลนด์ โรด บอกเลยว่า "บังโม" ป่วนเกมรับเจ้าบ้านได้ตลอด และมีโอกาสที่จะใส่สกอร์เพิ่มหลายครั้ง แต่โดยรวมแล้วผลงานของเขาถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ งานนี้ต้องบอกว่านักเตะกำลังอยู่ในช่วงมั่นใจเต็มเปี่ยม และสาวก "เดอะ ค็อป" คงจะได้เห็นของดีจากเขาอีกเพียบแน่นอน
 

2. เอลเลียตต์ อาการน่าเป็นห่วง
ประเด็นร้อนที่แฟนบอลลิเวอร์พูล เป็นกังวลที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องอาการบาดเจ็บของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ มิดฟิลด์ดาวรุ่ง ที่ต้องโดนหามออกจากสนาม หลังได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในช่วงต้นครึ่งหลัง

มิดฟิลด์วัย 18 ปีโดน ปาสกาล สเตราค์ เสียบจากด้านหลังจนเป็นเหตุให้ข้อเท้าของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ซึ่งในตอนแรกมีการคาดการณ์กันว่าอาจถึงขั้นหัก แต่จากรายงานระบุว่า ณ เวลานี้นักเตะน่าจะบาดเจ็บข้อเท้าหลุดมากกว่า

ไม่ว่าจะหักหรือหลุดต้องถือว่าเป็นความเสียหายหลายแสนของ "เดอะ เร้ดส์" เนื่องจากพวกเขาจะไม่มี เอลเลียตต์ ช่วยทีมหลายเกมแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ คล็อปป์ ผิดหวังที่สุดเพราะนี่คือผู้เล่นที่นายใหญ่ชาวเยอรมัน เชื่อมั่นว่าจะเป็นกุญแจสำคัญนำ ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้

สำหรับอาการของ เอลเลียตต์ แฟนบอล "หงส์แดง" อาจจะพอใจชื้นอยู่บ้างเพราะนักเตะได้โพสต์ภาพชูนิ้วโป้งในขณะนอนอยู่บนเตียงในรถพยาบาลผ่าน "ไอจี" ส่วนตัว ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอการยืนยันจากสโมสร หลังนักเตะเข้ารับการสแกนอย่างละเอียด

3. ฟาบินโญ่ นั้นโก้จริงๆ
ลิเวอร์พูล ต้องส่งช่อดอกไม้ไปให้ ฟีฟ่า เพราะพวกเขาตัดสินใจไม่แบนแข้งชาวบราซิเลียน จากกรณีที่สโมสรสั่งห้ามเดินทางไปช่วยชาติในช่วงพักเบรกทีมชาติ เพราะหวั่นเรื่องปัญหาโควิด-19 เนื่องจากแมตช์นี้ ฟาบินโญ่ และ อลิสซง เบ็คเกอร์ โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นมากๆ

อลีสซง มีช็อกที่ช่วยเซฟให้ทีมไม่เสียประตูในช่วงต้นเกม รวมทั้งจังหวะบล็อกลูกยิงของ แพทริค แบมฟอร์ด บริเวณหน้าประตู แต่หลังจากนั้น "พ่อหมี" ก็ไม่ค่อยได้ทำงานหนักอะไรมากนัก

ขณะที่ ฟาบินโญ่ ต้องบอกเลยว่าเจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้สุดยอดจริงๆ ในการทำหน้าที่เป็นมิดฟิลด์ตัวรักที่คอยตัดเกมคู่แข่งอยู่ข้างหน้าแผงแบ็กโฟร์ โดยเขาจัดการ คาลวิล ฟิลลิปส์ จนเล่นไม่ออก นอกจากนี้ยังสามารถหยุด ราฟินโญ่ ปีกเพื่อนร่วมชาติไม่ให้ทำเกมได้ถนัด

ผลงานของ ฟาบินโญ่ ทำให้ ติอาโก้ อัลกันทาร่า, เอลเลียตต์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ ดีโอโก้ โชต้า สามารถเล่นเกมรุกได้อย่างสบายใจโดยที่ไม่ต้องพะวงในเรื่องการเล่นเกมรับ
   
ที่สำคัญฟอร์มของ ฟาบินโญ่ ถือว่าสมบูรณ์แบบสุดๆ ในแมตช์นี้เมื่อเป็นคนที่ยิงประตูให้ทีมขึ้นนำ 2-0 ด้วย ฉะนั้นคงจะไม่ผิดหากจะบอกว่านี่คือผู้เล่นแดนกลางที่สร้างความแตกต่างให้กับเกมของ "หงส์แดง" อย่างแท้จริง
 
4. มาเน่ น่าเขกกะโหลก
ตัวเลขบนสกอร์บอร์ดจำนวน 3 ลูกที่ ลิเวอร์พูล ได้ในแมตช์นี้อาจจะดูเหมือนเยอะ แต่หากมองจากรูปเกมและโอกาสที่พวกเขามี ต้องบอกเลยว่าเป็นตัวเลขที่น้อยเกินไปจริงๆ โดยเฉพาะกับโอกาสที่ ซาดิโอ มาเน่ ได้รับในเกมนี้

มาเน่ มีโอกาสหลายต่อหลายครั้งในครึ่งแรก และช่วง 45 นาทีหลัง "เดอะ เร้ดส์" ยิ่งมีโอกาสยิงประตูหนีห่างหลังจากที่ ปาสกาล สเตราค์ โดนไล่ออกจากการทำฟาวล์ เอลเลียตต์ จนได้รับบาดเจ็บหนัก

คิดดูก็แล้วว่าแมตช์นี้มีสถิติที่น่าเหลื่อเชื่อสำหรับ สตาร์ลูกหนังชาวเซเนกัล เมื่อเขามีโอกาสยิงทั้งหมด 10 ครั้ง และแต่ละครั้งก็เป็นโอกาสที่แทบจะชัดเจน แต่บทสรุปคือได้มาเพียงแค่ 1 ประตูเท่านั้น

จริงๆ แล้วจำนวน 10 ครั้งที่เจ้าตัวยิงมีบางจังหวะที่สามารถส่งให้เพื่อนร่วมทีมที่ยืนตำแหน่งดีกว่ายิงก็ได้ แต่เขาเลือกที่จะซัดเอง และผลออกมาก็น่าผิดหวังเหลือเกิน ซึ่งดีที่ว่า ลิเวอร์พูล สามารถเก็บชัยชนะได้ในแมตช์นี้ ไม่งั้น มาเน่ กลายเป็นเป้าโจมตีแหงๆ
 

5. ตารางคะแนนสุดสูสี
สำหรับสถานการณ์ในตารางลีกเมืองผู้ดีเวลานี้ถือว่าเข้มข้นเหลือเกิน เพราะผ่านไปเพียง 4 เกมทีมเต็งแชมป์ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ ลิเวอร์พูล มีคะแนนเท่ากันผลต่างประตูได้เสียเท่ากัน แต่อันดับต่างกันเนื่องจากประตู "ได้" ของ "ผีแดง" เยอะกว่า 2 ลูกเท่านั้น

ในเวลานี้ต้องบอกเลยว่าการลุ้นแชมป์สนุกสุดๆ เพราะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าก็ยังคงไล่บี้มาแบบเงียบๆ เหมือนเดิม จำได้ไหมเมื่อซีซั่นที่แล้ว หรือเมื่อ 2 ซีซั่นนก่อนพวกเขาก็เริ่มต้นได้ไม่สวยหรูแต่พอเข้าสู่ปลายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ "เรือใบสีฟ้า" ฟอร์มโหดเข้าป้ายคว้าแชมป์ทุกที

ฉะนั้นในเวลานี้คงไม่สามารถตัดสินอะไรได้มากนักในการลุ้นแชมป์ แต่อันดับในตอนนี้ถือเป็นแรงผลักดันให้ทีมหัวตารางมีความฮึกเหิม รวมทั้งเอาไว้ให้แฟนบอลของแต่ละทีมจะได้กระชุ่มกระชวย

ลองนึกภาพดูเล่นๆ หาก 10 จังหวะที่ มาเน่ มีโอกาสยิง และเปลี่ยนเป็นประตูซักสองหรือสามลูก ตำแหน่งในตารางคะแนนของ ลิเวอร์พูล จะเป็นยังไง แล้วจะมีเรื่องดราม่ามากแค่ไหนบนโลกออนไลน์ อิ อิ อิ !!