อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ สองทีมยักษ์ของ พรีเมียร์ลีก มีโอกาสต้องฟาดฟันกันมากถึงสี่นัดในเวลา 12 วัน นอกเหนือจากโปรแกรม พรีเมียร์ลีก ที่ส่อเค้าว่าจะเป็นเกมตัดสินแชมป์
   
จากสถานการณ์ล่าสุดของลีกเมืองผู้ดี เรือใบสีฟ้า ยังนำเป็นจ่าฝูงเช่นเดิม แต่ถูก หงส์แดง ไล่ตามเหลือหกแต้มแล้ว และทั้งสองทีมมีคิวปะทะกันที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วยในวันที่ 9 เม.ย.ซึ่งน่าจะชี้ชัดได้ว่าโทรฟี่ พรีเมียร์ลีก จะตกไปอยู่ในตู้โชว์ของทีมไหน

อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีลุ้นคว้าแชมป์ในซีซั่นนี้มากกว่าหนึ่งรายการ มันจึงหมายความว่าแฟนบอลอาจได้เห็นสองทีมยักษ์ใหญ่ระเบิดศึกกันมากกว่าหนึ่งเกมเนื่องจากโชคชะตาอาจดลบันดาลให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต่อกรกันในถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก และ เอฟเอคัพ เพิ่มเติมด้วยก็ได้หากทั้งสองทีมสามารถเอาชนะคู่แข่งผ่านเข้ารอบต่อไปของศึกฟุตบอลถ้วยทั้งสองรายการได้สำเร็จ

สำหรับศึก แชมเปี้ยนส์ลีก หงส์แดง กับ เรือใบสีฟ้า ต่างก็มีสิทธิ์ทะลุเข้ารอบสูงลิบเนื่องจากทีมของ กวาร์ดิโอล่า บุกไปยำใหญ่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในรอบ 16 ทีมนัดแรกอย่างท่วมท้น 5-0 เช่นเดียวกับทีมของ คล็อปป์ ที่บุกไปกำชัยเหนือ อินเตอร์ มิลาน  2-0

ด้านศึก เอฟเอคัพ แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล รอเตะรอบห้าช่วงต้นเดือนหน้ากับทีมรองบ่อนทั้งคู่โดย เรือใบสีฟ้า จะบุกไปเยือน ปีเตอร์โบโร่ ยูไนเต็ด ทีมระดับ แชมเปี้ยนชิพ ขณะที่ หงส์แดง จะเปิดบ้านต้อนรับ นอริช ทีมบ๊วยของ พรีเมียร์ลีก ที่พวกเขาเพิ่งเปิดบ้านต้อนได้หมาดๆ 3-1

ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าสองทีมยักษ์ของ พรีเมียร์ลีก อาจต้องต่อกรกันเองอีกสองนัดในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแปดทีมหากมีผลการจับสลากเจอกันเองในระหว่างวันที่5/6เม.ย.และ 12/13 เม.ย.อีกทั้งอาจถูกประกบคู่ให้บู๊กันในถ้วย เอฟเอคัพ รอบแปดทีมเพิ่มอีกก็เป็นได้ซึ่งจะทำให้พวกเขาต้องฟาดแข้งกันทั้งหมดสี่นัดในรอบสองสัปดาห์ของเดือนเม.ย.