เอฟเอ คัพ ถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลกอายุ 152 ปี ประดับประดาด้วยริบบิ้นสีฟ้า นี่คือ แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์นัดชิงเอฟเอ คัพอีกต่างหาก

น่าสนใจ....กับสองทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์

แมนฯซิตี้ เจ้าของยูเออี

ผู้จัดการทีม สเปน

กัปตันทีมเยอรมนี

แมนฯยูไนเต็ด เจ้าของอเมริกัน

ผู้จัดการทีม เนเธอร์แลนด์

กัปตันทีมโปรตุกีส

ชิงถ้วยของคนอังกฤษ

แทกติกสองฝั่ง

แมนฯยูไนเต็ด ; ทางด้าน  ETH จัด 11 คนแรกชนเรือใบด้วยรูปแบบ4-2-3-1

เดเคอา : วาน บิสซาก้า, วาราน, ลดล, ชอว์

; กาเซมิโร, เฟรด

; เอริกเซน , ซานโช, บรูโน

; แรชฟอร์ด

ดูจากการจัดกองกลางแล้วนี่คือชุดชนะ ซิตี้2-1  ทั้งกาเซมิโร-เฟรด โดย เอริกเซน เบอร์10  ส่วนข้างหน้า บรูโน ด้านขวา กับ ซานโช ด้านซ้าย ดร.แรชฟอร์ด ยืนเป้า ถ้ายืน  shape มันคือ 4-5-1 ในการตั้งเกมรับ

แมนฯซิตี้ ; เป๊ป จัด  3-2-4-1

ออรเตกา ; วอล์คเกอร์,ดิอาส์ อาคานยี

; โรดริโก,สโตน

; เดอ บรอยน์ , กุนโดกัน, กรีลิช, ซิลวา

; ฮาลันด์

อีกครั้งที่้ จอห์น สโตน เล่นแบบ  inverted-fullback เมื่อเดินเกมรุก แต่พอรับถอยกลับมายืนคู่กับ ดิอาส ส่วนตัวทำนั้นดัน กุนโดกัน กับ เดอ บรอยน์ ขึ้นไปสนับสนุนตัวทำ กรีลิช และ แบร์นาโด ซิลวา

ประตูเร็วสุดนัดชิงเอฟเอ

กุนโดกัน เขี่ยบอลไปข้างหลังให้ ออร์เตก้า ผู้รักษาประตู เปิดเกมโด่งเข้ามาในแดนสาม ฮาลันด์ โหม่งเช็ด บอลกระดอนพื้น ลินเดอเลิฟ โขกสกัดติดหัว เดอ บรอยน์ ไปเข้าทาง กุนโดกันที่ ยิงบอลลอยยังไม่ตกพื้น (ไม่ใช่ฮาล์ฟวอลเลย์นะครับ) บอลเข้าเขาฮุคเสียบคานสวยงาม...

ในเวลา13 วินาที!!!!

ส่งผลให้ลูกยิงของ  กุนโดกัน เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ นัดชิงเอฟเอ คัพ ทำลายสถิตเดิมของ หลุยส์ ซาฮา ที่ยิงใน 25 วินาที  ก่อนแพ้ เชลซี นัดชิงเมื่อ 30 พค 2009

เกมนั้นเชลซี   ชนะ เอฟเวอร์ตัน2-1

จากนั้นเกมเป็นของเรือใบ แต่ก็เข้าแดนสามยาก ขณะที่ ฮาลันด์ และกรีลิช มีบทบาทน้อย  ฮาลันด์ นั้นโดน วาราน แมน มาร์คกิ้ง เลย แทบไม่มีโอกาสพลิกบอล ทำให้เรือใบเสียบอลแดนสามบ่อยขึ้น จนผีเริ่มตั้งหลักได้และ...เริ่มมีโอกาสเดินเกมถึงกรอบโทษ เรือใบมากขึ้น จนได้จุดโทษ น.31

จุดโทษมั้ย

จังหวะขึ้นโหม่งของ วาน บิสซาก้า บอลโดนมือกรีลิช ที่กางออกมา ตอนแรกผู้ตัดสินไม่ให้ แต่ เดวิด คูต ผ.ต.ส. วีเออาร์ บอกให้ไปดูที่มอนิเตอร์ เอง ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ แม้ใช้เวลาดู 50 วินาที แต่...บอลโดนมืออะครับ แขนกางออกมา มันก็ตามกฏ ก็ต้องจุดโทษ

บรูโน แปเรียด สวนทาง ออร์เตกา เสมอ 1-1

เรือใบดูเกร็งๆ 15 นาทีท้าย

พอโดนตีเสมอกลายเป็น แมนฯยูไนเต็ด เริ่มต่อบอลได้ดีขึ้น แมนฯซิตี้ เสียบอลง่ายขึ้น และเกมดูแผ่วไปเอง เข้าแดนสามไม่ได้ แนวรุกแทบไม่มีโอกาสเล่นมากนัก กลายเป็นบอลเข้าทางแมนฯยูฯ จนหมดครึ่งแรก

เริ่มครึ่งหลังเรือใบกดดันหนัก

5 นาทีของครึ่งหลัง เรือใบเดินเกมรุกเร็วทันที  ครองบอลและโจมตีต่อเนื่อง จนได้ประตูนำ 2-1 จากจังหวะยิงนอกเขตของ กุนโดกัน ที่บอลโดนหน้าแข้งแล้ว กระดอนพื้น ไซด์ข้ามหัวเข่า วาราน ผลุบเข้าเสาสองง่ายๆเลย ได้ น.51

จังหวะนี้ แนวป้องกันผีเหม่อ ปล่อยให้ กุนโดกัน มีเวลาสับไกหน้าเขตโทษ ว่างๆ

นั่นเองที่ประตูขึ้นนำเกมของพวกเขากลับมาเป็นเรือใบที่แฟนบอลเห็น คือคุมเกมได้หมด สิ้น บีบให้ แมนฯยูฯ รับในแดน  ที่ทำได้คือ แมนฯซิตี เสียบอลแดนสามและแดนสองจึงได้โอกาสโต้กลับมา เป็นครั้งคราว จนต้องเปลี่ยนเอา เอริกเซน ออก แล้วส่ง การ์นาโช ลงมาแทน เพื่อให้ บรูโน เล่นเกมรุกหน้าไลน์ ในตำแหน่งเบอร์สิบ มากขึ้น

เกมวูบวาบพอใช้ได้อยู่สำหรับผีแดง มีโอกาสจบด้วยการยิง จังหวะได้ลุ้นสองสามครั้ง เรียกว่ามีบางช่วงที่ทำให้เรือใบป่วนได้เหมือนกัน

ฮาลันด์ เงียบ

ก็ตามแทกติก หน้าเป้าที่โดนประกบติดโดย วาราน ไม่ให้พลิกบอลเลย มีโอกาสบ้างประปราย แต่ไม่ได้สร้างความกดดันให้เกมรับผีแดงเท่าไหร่ ครึ่งหลังมีโอกาสยิงในเขตโทษ แต่ติดเซฟ เดเคอา

แน่นอนภาพรวม...แมนฯซิตี้ คุมเกมการเล่นได้ตามแทกติกของพวกเขา เพียงแต่ว่าพอสกอร์มันนำแค่หนึ่งลูก  เท่ากับว่าแมนฯยูไนเต็ด ยังมีโอกาสที่ลุ้นตีเสมอ อยู่ เกมจึงออกมาได้ลุ้นในบางช่วง บางเวลา

นัดชิงชนะเลิศ...มันไม่มีอะไรง่ายอยู่แล้ว ต่อให้คุณเหนือกว่าคู่แข่งก็ตาม

บทสรุปแชมป์เอฟเอ คัพ คงต้องบอกว่า "เรือใบสีฟ้า" ยังคงมีคุณภาพในการเล่นเพื่อเป็นผู้ชนะ ขณะที่แมนฯยูไนเต็ด ต้องถือว่าเป็นปีที่พวกเขาพัฒนารูปแบบการเล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วนัดนี้แม้สภาพทีมไม่พร้อม มากเท่ากับ แมนฯซิตี แต่สู้ได้ดีมากๆ ถ้าซัมเมอร์ นี้ ได้นักเตะมาแจ่มๆ อีกสักสองสามคน พวกเขามีโอกาสร่วมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่นหน้า....ได้เลย

ส่วน แมนฯซิตี้คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 7

เป็นสมัยที่สองของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

มุ่งหน้าสู่การครองเจ้ายุโรปครั้งแรก พร้อมลุ้น "สามแชมป์" ในวันที่ 10 มิ.ย.