ผลคะแนนและราคา 2 in 1 คะแนนในการแข่งสด ผลการแข่งขัน ตารางการแข่งขัน อัตราต่อรอง ข้อมูล คะแนนบาสเก็ตบอล
ฟุตบอล » พรีเมียร์ลีก อังกฤษ » ประวัติศาสตร์ไม่บังเกิด! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล ชนะ อตาลันต้า ก่อนร่วงถ้วย ยูโรปา

ประวัติศาสตร์ไม่บังเกิด! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล ชนะ อตาลันต้า ก่อนร่วงถ้วย ยูโรปา

Posted 19/04/2024 by siamsport

ลิเวอร์พูล กำลังจะจบซีซั่นสุดท้ายของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยอดกุนซือชาวเยอรมันอย่างห่อเหี่ยวเมื่อมีอันต้องตกรอบแปดทีมถ้วย ยูโรปาลีก เป็นที่เรียบร้อยแล้วแม้จะบุกไปพิชิต อตาลันต้า ได้ 1-0 ในการฟาดแข้งนัดสองที่ เกวิสส์ สเตเดี้ยม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 เม.ย. แต่ไม่เพียงพอต่อการพลิกสถานการณ์เข้ารอบได้หลังพ่ายเกมแรกในบ้านด้วยสกอร์ 3-0

1. เจ้าบ้านปรับโผสองตำแหน่ง

อตาลันต้า จัดไลน์อัพต่างไปจากเกมแรกที่บุกไปทุบ ลิเวอร์พูล ถึง แอนฟิลด์ 3-0 รวมสองตำแหน่งด้วยกัน

กุนซือ จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ เลือกใช้งาน เซอัด โคลาซินัช อดีตกองหลัง อาร์เซน่อล และ อเล็กเซ มิรันชุก ตัวรุกทีมชาติ รัสเซีย ลงเล่นเป็นตัวจริงแทน มาริโอ ปาซาลิช ที่สอยตาข่ายเกมแรกได้ และ ชาร์ล เด เคเตลาเร ที่หลุดไปนั่งสำรองทั้งคู่

อย่างไรก็ดี จานลูก้า สคามัคค่า อดีตศูนย์หน้า เวสต์แฮม ที่นัดก่อนแผลงฤทธิ์ซัดสองประตูใส่ หงส์แดง ยังได้ออกสตาร์ตเช่นเดียวกับ มาร์เตน เดอ รูน อดีตมิดฟิลด์ทีม มิดเดิ้ลสโบรช์ และ ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า อดีตวิงแบ็คทีม เชลซี

2. หงส์สู้ตายโรเตชั่นหกจุด

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล สลับทัพจากเกมแรกที่แพ้ทีมจาก เซเรียอา ยับรวมหกจุดหลังยืนยันกับสื่อว่าไม่คิดละทิ้งถ้วยใบนี้ และหวังเห็นลูกทีมสร้างผลงานพลิกนรก

นอกจาก อลิสซง จะได้เฝ้าเสาแทน ควีวิน เคลเลเฮอร์ ต่อจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดแพ้ คริสตัล พาเลซ คารัง 1-0 แล้ว นายใหญ่ด๊อยช์หวนกลับมาใช้งาน โม ซาลาห์ เป็นตัวจริงเช่นเดียวกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ , แอนดี้ โรเบิร์ตสัน , โดมินิก โซโบซไล และ  หลุยส์ ดิอาซ

สำหรับนักเตะอีกห้ารายนอกจาก เคลเลเฮอร์ ที่ตกเป็นตัวสำรองเกมนี้ประกอบไปด้วย โจ โกเมซ , วาตารุ เอ็นโด , ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ , ดาร์วิน นูนเญซ และ คอสตาส ซิมิคาส

อย่างไรก็ดี หากจะเทียบจากเกมแพ้ ดิ อีเกิ้ลส์ คล็อปป์ เปลี่ยนนักเตะตัวจริงสามรายให้ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ , โซโบซไล และ โคดี้ กัคโป ลงเล่นก่อนหน้า คอเนอร์ แบรดลีย์ ที่บาดเจ็บ ,เอ็นโด และ นูนเญซ

3. ออกสตาร์ตเหมือนฝัน

แม้จะตกเป็นรองจากเกมแรกถึง 3-0 แต่พะยี่ห้อ หงส์แดง ซะอย่าง พวกเขาไม่คิดถอดใจง่ายๆ พร้อมมั่นใจว่าหากได้ประตูนำเร็ว ทุกอย่างก็สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น

และในที่สุด หลังจากเกมผ่านมา 7 นาที เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ก็ตวัดบอลจากกราบขวาเข้าเขตโทษไปกระทบแขน มัตเตโอ รุจเจรี่ จนทำให้ทีมเยือนได้ลูกโทษซึ่ง ซาลาห์ สังหารตุงตาข่ายไม่พลาดพาทีมจาก พรีเมียร์ลีก บุกมานำ 1-0

จากสกอร์ดังกล่าวทำให้ บังโม ซัดลูกโทษในซีซั่นนี้ได้ 7 ประตูแล้ว และถือเป็นการเริ่มเกมได้อย่างที่ คล็อปป์ วาดหวังไม่มีผิด

อย่างไรก็ดี ซาลาห์ น่าจะทำได้ดีกว่านี้ในจังหวะได้ลูกจ่ายหลุดเดี่ยวในนาทีที่ 39 แต่กลับชิพบอลข้ามนายทวาร ฮวน มุสโซ่ หลุดกรอบไปหลายวาอย่างไม่น่าเชื่อ หาไม่แล้วหาก ลิเวอร์พูล หนีห่าง 2-0 ก่อนจบครึ่งแรก รับรองได้ว่า อตาลันต้า มีหวังเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่

เท่านั้นไม่พอ หลังจากดาวยิงทีมชาติ อียิปต์ ทิ้งโอกาสทองให้หลุดลอยไปแค่พริบตาเดียว ทีมเจ้าบ้านเกือบได้ประตูตีเสมอด้วย ดีที่ว่าลูกยิงที่ตุงตาข่ายของ เติน คูปไมเนอร์ส ล้ำหน้า ไม่เช่นนั้น ซาลาห์ คงต้องตีอกชกหัวตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย

จบ 45 นาทีแรก ลิเวอร์พูล ครองบอลได้มากกว่า 70:30% และได้ยิง 8 ครั้งเข้ากรอบ 3 ครั้ง ขณะที่ อตาลันตัน ได้ง้างแค่ครั้งเดียวและไม่เข้ากรอบ

4. เร่งไม่ขึ้น = ลุ้นไม่ขึ้น

กลับสู่ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล มีโอกาสเช็กบิลอีกประตูในช่วงต้น แต่ก็พลาดอย่างน่าเสียดายโดยเฉพาะ ซาลาห์ ที่ซีซั่นนี้มีหลายเกมที่เห็นได้ชัดว่าความเป็นเพฌฆาตของเขาลดน้อยถอยลงไปหลายขีดขั้น

จนในที่สุด บังโม ก็โดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 65 เช่นเดียวกับ ดิอาซ และ โซโบซไล โดยที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ , ดีโอโก้ โชต้า และ นูนเญซ ได้ลงเล่น

ขณะเดียวกัน อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ โดนเปลี่ยนตัวอีกรายในนาทีที่ 72 ให้ โกเมซ ลงบู๊เนื่องจากแบ็คขวาจอมแอสซิสต์ไม่อาจใช้การวางบอลยาวที่แม่นยำสร้างประโยชน์ให้ทีมได้อย่างที่ เร้ด แมชีน หวังกันว่ามันจะเป็นทีเด็ดที่ช่วยแผ้วทางให้ทีมได้ประตู แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าเจ้าตัวบาดเจ็บไปนาน และเพิ่งกลับมาลงเล่นได้แค่ไม่กี่นัด

กระทั่งช่วงสิบนาทีสุดท้าย คล็อปป์ ตัดสินใจพึ่งพา เจย์เดน แดนน์ส กองหน้าวัย 18 ปีให้ประเดิมสนามในถ้วยยุโรปเป็นเกมแรกโดยถอด โรเบิร์ตสัน ออก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เป็นผลซึ่งแน่นอนว่าสมควรต้องยกเครดิตให้กับการวางหมากของ กาสเปรินี่ ที่สั่งให้ลูกทีมประกบติดฝ่ายตรงข้าม และดึงเกมช้าเข้าไว้เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ทีมเยือนมีพื้นที่ในการจู่โจม และได้ผลเป็นอย่างดีแม้จะปราชัย 1-0 ก็ตาม

หลังบู๊กันครบ 90 นาที เครื่องจักรสีแดง ที่เร่งเกมรุกในหลายเกมหลังไม่เป็นผลเหมือนก่อนหน้านี้ของซีซั่นยังครองบอลได้เหนือกว่า 70:30% เช่นเดิม และได้ยิงรวมทั้งสิ้น 10 ครั้งเข้ากรอบ 5 ครั้ง ขณะที่ อตาลันต้า ได้ยิง 8 ครั้งเข้ากรอบ 2 ครั้งซึ่งจะเห็นว่าโอกาสยิงประตูตลอดทั้งเกมแค่ 10 ครั้งของ หงส์แดง ถือว่าผิดวิสัยของพวกเขา และบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ออกอาการหมดแรงข้าวต้มกันแล้ว

5. ประวัติศาสตร์ไม่บังเกิด

จากที่มีสถิติเผยออกมา ลิเวอร์พูล ไม่เคยพลิกเข้ารอบฟุตบอลถ้วยยุโรปได้เลยหากพวกเขาได้เล่นในบ้านก่อนนัดแรก และแพ้ทีมเยือนคา แอนฟิลด์

ก่อนจะเสียท่าให้ อตาลันต้า 3-0 หงส์แดง เคยแพ้ในบ้านให้กับ ลีดส์ ปี 1971 , เชลซี ปี 2009 และ เรอัล มาดริด ปี 2023 ซึ่งปรากฏว่าทั้งสามครั้งพวกเขาร่วงตกรอบหมด รวมถึงครั้งที่สี่ที่แดนพิซซ่านี้ด้วย

ขณะเดียวกัน ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ไม่อาจสร้างชื่อเป็นทีมแรกจากการฟาดแข้งนัดที่ 133 ได้ในฐานะทีมผ่านเข้ารอบถ้วย ยูฟ่าคัพ หรือ ยูโรปาลีก ในปัจจุบันหลังตกเป็นรองก่อนในเกมแรกด้วยสกอร์สามประตูขึ้นไป

มีการระบุว่าก่อนหน้านี้ในรายการดังกล่าว 132 นัด ทีมที่แพ้นัดแรกด้วยสกอร์ที่มากกว่าสามประตูล้วนตกรอบด้วยกันทั้งหมด และไม่เว้นแม้แต่ หงส์แดง ที่ถูกจารึกว่าเป็นเกมที่ 133 แล้วที่พวกเขาสร้างปาฏิหารย์ไม่ได้เช่นกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

TOP 5 ข่าวในรอบ 3 วัน

อัลบั้มภาพเด็ดๆ

More »

คลิปไฮไลท์

More »