สโมสรในศึกพรีเมียร์ ลีกจำเป็นต้องควบคุมค่าใช้จ่ายของตัวเอง หลังจากมีรายงานว่าค่าเหนื่อยนักเตะที่ค้าแข้งในลีกสูงสุดของอังกฤษทำสถิติ สูงเป็นประวัติศาสตร์ในฤดูกาลที่แล้ว จากการรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา 


         ค่าเหนื่อยนักเตะพรีเมียร์ลีกเพิ่ม สูงขึ้นถึง 201 ล้านปอนด์ (ประมาณ 10,050 ล้านบาท) ในฤดูกาล 2010-11 ทำให้ยอดรวมทั้งหมดสูงถึงเกือบ 1,600 ล้านปอนด์ (ประมาณ 80,000 ล้านบาท) ขณะที่รายได้รวมทั้งหมดของทุกสโมสรเพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซนต์เป็น 2,270 ล้านปอนด์ (ประมาณ 113,500 ล้านบาท) จากการรายงานของดีลอยท์


         ทั้ง 20 สโมสรในศึกพรีเมียร์ลีกใช้จ่ายเงินอย่างมหาศาลไปกับค่าเหนื่อยนักเตะ โดยเป็นจำนวนถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดเลยทีเดียว ซึ่ง อลัน สวิตเซอร์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจกีฬาของ ดีลอยท์ เตือนว่า บรรดาเจ้าของสโมสรในลีกสูงสุดอังกฤษจำเป็นต้องรู้จักควบคุมค่าใช้จ่ายแล้ว โดยเฉพาะกฎแฟร์เพลย์ทางการเงินของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) (เอฟเอฟพี) จะถูกนำมาใช้ในเร็วๆ นี้ 


         "ถ้าค่าเหนื่อยเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของรายได้หรือสูงกว่านั้น มันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างผลกำไร ในความเห็นของเรามันสูงเกินไป เนื่องจากลีกและสโมสรจำเป็นต้องลดลงให้ต่ำกว่า 60 เปอร์เซนต์ ทุก 1 เปอร์เซ็นต์ที่ลดลงน่าจะเพิ่มผลกำไรได้มากถึง 20-25 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,000-1,250 ล้านบาท)" สวิตเซอร์ กล่าว


         สวิตเซอร์ กล่าวว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีกและ เชลซี แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งมีเจ้าของเป็น ชีค มานซูร์ และ โรมัน อบราโมวิช ตามลำดับ ต้องเจอกับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่เมื่อกฎ เอฟเอฟพี ถูกนำมาใช้ 
 

         "เชล ซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือสโมสรที่มีสถิติขาดทุนสูงสุด ดังนั้น พวกเขาคือ 2 สโมสรที่ต้องทำงานหนักที่สุด และพวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร หลายสโมสรชั้นนำในยุโรปยังเหลือเส้นทางอีกยาวไกลกว่าจะได้รับความยินยอม" สวิตเซอร์ กล่าว